ทำอย่างไรเมื่อลูกเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษในวัยเรียน : ร่วมด้วยช่วยกัน

จากคราวที่แล้วผมได้แนะนำผู้ปกครองให้สังเกตบุตรหลานหลังจากที่ได้รับข้อมูลจากโรงเรียน ดังนี้ 1) เปิดใจรับฟัง 2) สังเกตพฤติกรรมเพิ่มเติม 3) ทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 4) ตัดสินใจและเปิดใจยอมรับ และ 5) หาแนวทางช่วยเหลือทางการศึกษาร่วมกับครู และนักสหวิชาชีพ หลังจากที่ผู้ปกครองได้พาบุตรหลานไปทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วจะทราบข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น แบ่งเป็น 3 แนวทาง คือ
1. สำหรับเด็กที่ไม่พบความบกพร่องในด้านต่าง ๆ (ไม่ใช่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ) ผู้ปกครองและครูประจำชั้นร่วมกันสังเกตพฤติกรรมเด็กต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือพฤติกรรมการเรียนบางอย่าง รวมถึงการจัดการเรียนการสอนของครู ส่งผลต่อปัญหาในการเรียนของเด็กโดยตรง
2. สำหรับเด็กที่ไม่พบความบกพร่องในด้านต่าง ๆ (ไม่ใช่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ) แต่มีความยากในการเรียน เช่น นักเรียนที่ไอคิวปกติ เรียนรู้ปกติ แต่มีความช้าในการอ่าน การเขียน เป็นต้น เด็กกลุ่มนี้ ผู้ปกครอง และครูควรร่วมมือกันในการหาวิธีสอนที่ช่วยกระตุ้นการอ่าน และการเขียน หรือกระตุ้นทักษะในการเรียนให้กับเด็ก และร่วมมือกันปฏิบัติแนวทางที่ตกลงใช้ร่วมกันทั้งทางโรงเรียน และทางบ้าน โดยผู้ปกครองอย่าลืมที่จะติดต่อสอบถามพฤติกรรมของบุตรหลานกับคุณครูเป็นประจำชั้น และให้ข้อมูลย้อนกลับกับทางโรงเรียนด้วย
3. สำหรับเด็กที่พบความบกพร่องในด้านใดด้านหนึ่ง (พบว่าเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ) ผู้ปกครองต้องเปิดใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และบอกข้อมูลต่าง ๆ กับทุกคนในครอบครัวเพื่อให้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นร่วมกัน นอกจากนี้ให้ความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ และคุณครูในการให้การช่วยเหลือ การกระตุ้น การฝึกปฏิบัติ โดยส่วนมากแล้วคุณครูในโรงเรียนจะเน้นการฝึกด้านวิชาการ โดยเฉพาะทักษะการอ่าน การเขียน และการคำนวณ ถ้าเด็กมีความบกพร่องในระดับที่รุนแรง ชัดเจน ผู้ปกครอง และโรงเรียนควรร่วมกันจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) โดยไม่นำผลการสอนไปวัด และประเมินผลแข่งขันกับเพื่อนในชั้นเรียน แต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเด็กให้เต็มที่ตามศักยภาพของตัวเด็กเอง แต่ถ้าเด็กมีความบกพร่องในระดับที่ไม่รุนแรง คุณครูอาจปรับวิธีการสอน การวัด และประเมินผล สื่อการสอน และการดูแลในชั้นเรียนให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้และข้อจำกัดในการเรียนของเด็กแต่ละคน ในส่วนนี้ผมอยากให้ผู้ปกครองหันมาให้เวลาในการดูบุตรหลานเพิ่มมากขึ้น สังเกตพฤติกรรมเพิ่มมากขึ้น ใช้วิธีการช่วยเหลือหรือพัฒนาบุตรหลานในทิศทางเดียวกันกับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และโรงเรียน
อย่างไรก็ตามเพื่อให้การช่วยเหลือ และพัฒนาเด็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการร่วมมือจากตัวผู้ปกครองเองแล้วบุคคลอื่นในบ้านควรมองไปในทิศทางเดียวกัน จะยิ่งช่วยให้การปรับพฤติกรรมในการปรับตัว การใช้วิธีการต่าง ๆ ประสบผลได้ดียิ่งขึ้น อีกประการหนึ่งที่สำคัญต้องไม่แปลกแยกเด็กออกจากเพื่อน ครอบครัว และสังคม เด็กยังต้องใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแค่เพิ่มการฝึก หรือการปรับพฤติกรรมเท่านั้น การให้กำลังใจ การเสริมแรง การกระตุ้นเตือน เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องทำอยู่เสมอ ทำให้เด็กภูมิใจในสิ่งที่ตนทำได้ดีและมีความสุขกับการพัฒนาตนเอง
ในบทความนี้ผมเขียนจากประสบการณ์ในการเป็นครูในโรงเรียนมาก่อน ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย การพัฒนาเด็กจะเห็นได้อย่างชัดเจน และทำให้ทุกฝ่ายมีกำลังใจในการพัฒนาเด็ก ในบทความถัดไป จะได้พูดถึงการให้คำปรึกษาผู้ปกครองโดยครู ทุกท่านสามารถติดตามต่อไปได้ครับ
Related Courses
การส่งเสริมทักษะเด็กออทิสติก
เรียนรู้เกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆของเด็กออทิสติก เพื่อให้เป็นตัวช่วยในการออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเด็กกลุ่มนี้



เรียนรู้และเข้าใจเด็กแอลดี
เด็ก LD คือ เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ การรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม อาจช่วยให้ผู้ป่วยพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ได้อย่างเต็ม ...



แนวทางลดการบูลลี่ในสถานศึกษา
การถูกรังแก ล้อเลียน ดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นส่งผลให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวลทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน ปัญหาเหล่านี้จ ...



การดูแลพฤติกรรมเด็กๆ ในห้องเรียน (ประถมศึกษา)
เด็กๆ มีพฤติกรรมที่หลากหลาย มีทั้งพฤติกรรมทางบวกและลบ ดังนั้น “ครู” จึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยพาเด็กๆ ให้เข้าใจตนเอง ว่าเ ...



Related Videos


โต้ตอบอย่างไรดี (Still Face Experiment)


สอนลูกรู้จักรักและเคารพสิทธิของตนเอง


TSQP Kick Off แนวคิดห้องเรียนแห่งความสุข

