ทักษะอาชีพแบบนี้สิ ที่องค์กรต้องการ
“ ทักษะอาชีพแบบไหนที่องค์กรในอนาคตต้องการ” ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด เพราะในปี 2025 จะมีตำแหน่งงานที่จะมาทดแทนด้วยหุ่นยนต์ประมาณ 85 ล้านตำแหน่ง แต่จะมีงานที่จะเข้ามาทดแทน ประมาณ 97 ล้านตำแหน่ง ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายเพราะรูปแบบการทำงานของมนุษย์จากอดีตจนถึงปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่ใช้แรงกายในการทำงานเป็นหลักก็ได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนมีเครื่องทุ่นแรงและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยหนุนเสริมประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ทำให้แนวคิดด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มีความสำคัญที่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่าอาชีพที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน
แนวโน้มของโลกอนาคตในเรื่องของทักษะอาชีพ ว่าจะต้องมีทักษะแบบไหนจึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งสำคัญที่ที่สุดในการพัฒนาคนในการทำงานนั่นคือ
คนทำงานจะต้องมีการ Upskill (การพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่เรามีให้ดีกว่าเดิม) และ Reskill (การสร้างทักษะขึ้นมาใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน) ในการพัฒนาทักษะการทำงานของตัวเองอยู่เสมอถือว่าเป็นการปรับตัวในการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของตัวเอง
ทักษะของคนทำงานจะต้องมีความยืดหยุ่น มีการพัฒนาในงานที่ตนเองได้ทำ
คนทำงานจะต้องมีภาวะผู้นำ ผู้ตามที่ดี มีความยืดหยุ่นในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดี สามารถสร้างนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ มาใช้ในการทำงานในอาชีพของตัวเองได้
นอกจากคนทำงานจะมี Hard skill (ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน) คนทำงานยังจะต้องมี soft skill นั่นคือทักษะทางสังคม ที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งรวมถึงอุปนิสัย บุคลิกภาพ อุปนิสัย ทัศนคติ และ Mindset ต่างๆ ที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมด้วย ในการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือกัน Soft skill จึงเป็นทักษะที่สำคัญที่จะช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ปัจุบันนักเรียน นักศึกษา ยังขาดความรู้ความเข้าใจในทักษะอาชีพของตนเองว่าตนเองจะเดินไปทิศทางไหน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดตัวเองจะต้องรู้ด้วยตัวเองว่าชอบอาชีพอะไร มีความถนัดที่สุดในเรื่องอะไร เพราะการประกอบอาชีพในอนาคตจะต้องมีการทำงานอยู่ในอาชีพนั้นๆ ถ้าหากทำงานในอาชีพที่ตนเองไม่ได้ชอบ ก็จะทำให้การทำงานไร้ประสิทธิภาพ และไม่มีความสุขในการทำงาน อาจจะต้องมีการเปลี่ยนงาน ทำให้เสียทั้งเวลา และเสียทั้งความสามารถของตนเองที่มีอยู่
การปรับตัวของโรงเรียน โรงเรียนต้องตระหนักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพนั้น การเรียนรู้จากการที่ผู้เรียนเคยเป็นผู้รอรับความรู้มาเป็นผู้แสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเอง ในขณะที่ครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอน หรือผู้บอก ความรู้ เป็นผู้เอื้ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดสิทธิของผู้เรียน ที่สำคัญต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง ไม่จำกัดความคิดหรือกรอบเดิมๆ หรือเลือกทางเดินให้เขา ให้มองว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ต้วยตัวเองสามารถฉายแสงในมิติต่างๆได้แต่โรงเรียนต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ค้นพบตัวเอง
ผู้ปกครอง ความเชื่อและค่านิยมแบบเดิมๆ เป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะหากผู้ปกครองมีความเชื่อว่าคนที่มีความรู้มาก คือคนเก่งและจะมีอนาคตที่ดี มีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งสิ่งที่จะวัดการมีความรู้ทางวิชาการหรือความเก่งได้นั้นก็คือคะแนน ดังนั้นผู้ปกครองจึงมุ่งเน้นให้เด็กเร่งเรียน และให้ความสำคัญกับการสอบและการแข่งขันสูงมาก นั่นคือการทำร้ายเด็กทางตรงและทางอ้อม จะสังเกตเห็นว่าเด็กจะมีความเครียด และวิตกกังวลจนใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข อย่าฝากความหวังไว้ที่ลูก จงมองเขาอย่างมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีผิดหวัง มีสมหวังต้องให้เราเรียนรู้ในความผิดหวัง ให้เขาได้เลือกด้วยตนเอง เมื่อเขาล้มก็สอนให้เขาลุกขึ้นให้ไว และให้เรียนรู้กับการล้มด้วยตัวของเขาเอง
วิธีการพัฒนางานงานในองค์กร ให้สำเร็จ (จากมุมมองของผู้บริหาร CEO )
1. ผู้บริหารให้พนักงานได้เรียนรู้อยู่เสมอ ได้เรียนรู้จากความสำเร็จหรือความล้มเหลวจากงานของตนเอง
2. On The Job การฝึกปฎิบัติงานคือการให้พนักงานคนนั้นๆ ได้ทดลองทำงานจริงไปพร้อมกับการเรียนรู้เลย โดยใช้ประสบการณ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะการทำงาน
3. มองว่าพนักงานทุกคนคือมืออาชีพ สามารถพัฒนาได้
4. พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีทักษะการสื่อสาร ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจจนสามารถร่วมกันพัฒนางานได้เป็นอย่างดี ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าขาดทักษะนี้ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ จะทำให้งานล้มเหลว ถึงแม้คุณจะเก่งแค่ไหนแต่ทำงานร่วมกับใครไม่ได้ก็จะเกิดความเสียหายต่อองค์กร
ที่สำคัญที่สุดจงอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากถ้าหยุดเรียนรู้ก็ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จงพัฒนาทักษะของตัวเองโดยเฉพาะทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มองหาสิ่งใหม่ๆ ทำจิตใจให้เข้มแข็ง สร้างทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคมเพื่อปรับตัวในโลกอนาคตได้อย่างมีความสุข
เห็นได้ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้การพัฒนาทักษะอาชีพ คือการพัฒนาทักษะชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการปรับตัวเองให้ทันกับโลกสมัยใหม่ ต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และเข้าใจตนเองว่ามีความถนัดในทักษะด้านใด หรือมีความชอบในอาชีพไหนเพื่อจะได้ทำงานในอาชีพนั้นได้อย่างมีความสุขนั่นเอง ทั้งนี้ สามารถรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ www.StarfishLabz.com
คุณรพีรัฐ ธัญวัฒน์พรกุล CEO บริษัท HR เพจมนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
ดร.นรรธพร จันทร์เฉลี่ย เสริบุตร CEO Starfish Education
บทความใกล้เคียง
เล่น Discord ยังไงให้เก่งอังกฤษ ฟังได้ เขียนคล่อง ใน 1 เดือน
5 การเรียนรู้แบบ ‘อีลอน มัสก์’ สร้างนิสัยสู่ความสำเร็จ เริ่มจากเชื่อว่า “เราก็ทำได้”
5 ทักษะจำเป็น ฝึกลูกให้เก่งตั้งแต่วันนี้ อยู่ที่ไหนก็ก้าวหน้าแน่ ใช้ได้ทุกสายอาชีพในอนาคต
Related Courses
วัยรุ่นยุคใหม่ ต้องรู้เท่าทันโลกโซเชียล (Media Literacy)
ถึงเวลาที่น้องๆ ต้องรู้เท่าทันโลกโซเชียล เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตทำให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและสะดวกต่อการเข้าถึ ...
วัยรุ่นยุคใหม่ ต้องรู้เท่าทันโลกโซเชียล (Media Literacy)
การทำงานแบบทีม ทักษะจำเป็นยุคดิจิทัล (Collaboration skill)
ในคอร์สนี้จะเป็นการเรียนรู้ว่า การทำงานร่วมกันเป็นอย่างไร ทำไมเราต้องทำงานกับผู้อื่น แล้วเมื่อต้องทำงานร่วมกันแล้วจะส่งเสริมใ ...
การทำงานแบบทีม ทักษะจำเป็นยุคดิจิทัล (Collaboration skill)
เริ่มต้นทำ Visual Note อย่างง่ายใครๆ ก็ทำได้
หากคุณเป็นคนชอบวาดรูป ชอบการขีดเขียน หรือการจดบันทึก อยากลองทำ Visual Note แต่ไม่รู้จะสื่อสารออกมาอย่างไรดี คอร์สเ ...
เริ่มต้นทำ Visual Note อย่างง่ายใครๆ ก็ทำได้
ต้องใช้ 50 เหรียญ
นวัตกรรม Booklet ทำอย่างไรให้ ว้าว!
วันนี้ Starfish Labz มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้ครูผู้สอนได้เทคนิคการออกแบบกิจกรรมใน Booklet ให้มีความน่าสนใจ สร้างสรร ...
นวัตกรรม Booklet ทำอย่างไรให้ ว้าว!
ต้องใช้ 100 เหรียญ