3 รูปแบบการทำงาน เทรนด์ออฟฟิศยุคหน้า ที่น่าจับตามอง
เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหันทั่วทุกมุมโลก หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้มนุษย์ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนวิธีการเรียน และการทำงาน ผู้คนทั้งโลกต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวให้ทันในยุคปกติใหม่ (New Normal)
น้องๆ วัยรุ่นวัยเรียน และคุณครูแนะแนวก็คงรู้ซึ้งกันมาแล้วเป็นอย่างดีกับการเรียนออนไลน์ที่ผ่านมา เราจึงควรเปิดหูเปิดตา คอยสังเกตความเป็นไปของโลก และคาดการณ์เทรนด์อนาคตเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตั้งรับกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เพราะสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดรอเราอยู่เสมอ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ท่ามกลางความท้าทายและไม่มีอะไรแน่นอนที่เกิดขึ้นรอบตัวและรอบโลกนั้น น้องๆ ทราบไหมว่าได้ส่งผลให้ ‘มนุษย์ออฟฟิศ’ ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ จนกลายเป็นปรากฎการณ์การลาออกครั้งใหญ่ (The Great Resignation) เนื่องจากคนทำงานนั่งตกผลึก ฉุกคิด รู้ตัว และได้อยู่กับปัจจุบันขณะกันมากขึ้น จึงจับความรู้สึกได้ชัดเจนว่าไม่อยากเสียเวลาทำงานที่ไม่ตอบโจทย์ใจและชีวิตอีกต่อไป
คนเราทุกคนต่างก็อยากทำงานที่ทั้งทำเงิน ทั้งมีคุณค่าและความหมายด้วยกันทั้งนั้น หากเราเป็นหนึ่งในคนเก่งที่มีสิทธิ์เลือก ก็คงจะไม่ลังเลใจจะเลือกองค์กรที่ให้สิทธิ์เราบริหารชีวิต และการงานได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องสูญเสียตัวตน หรือละทิ้งชีวิตด้านใดด้านหนึ่งเพื่องานอีกต่อไป
Starfish Labz จึงได้รวบรวมเทรนด์การทำงานในออฟฟิศยุคหน้า ที่มีรูปแบบน่าจับตามอง ซึ่งจะตอบโจทย์ชีวิตของมนุษย์ออฟฟิศที่คำนึงถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากขึ้น ลองมาดูกันค่ะว่าจะตรงกับภาพฝันของน้องๆ กันบ้างไหม
1. ที่ไหนๆ ก็ทำงานได้
หรือจะเรียกว่า 'การทํางานระยะไกล' ก็ได้ โดยทุกคนไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่โยงในออฟฟิศเท่านั้น แต่เราก็ยังสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างราบรื่น
ถึงแม้ว่าบริษัททั่วโลกต่างหวั่นใจว่าพนักงานจะขาดความรับผิดชอบ หรือทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลก็ตาม แต่หลังจากผ่านยุค COVID-19 กันมาได้ มนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขายังทำงานได้ดี ไม่ขาดตกบกพร่อง เผลอๆ อาจดีกว่าเดิม จนปัญหากลายเป็นว่าเราทำงานมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเส้นคั่นกลางระหว่างชีวิตกับการทำงานอีกต่อไป ซึ่งพอจะแบ่งการทำงานแบบปกติใหม่ออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้
- Remote work เป็นการทำงานที่คนในทีมส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน อาจเช่าออฟฟิศชั่วคราวเป็นสถานที่ใจกลางเมืองให้ทุกคนเดินทางมาร่วมงานกันได้ เมื่อมีเหตุจำเป็นก็สามารถนัดหมายให้มาพบปะกันได้ในทันที
- Hybrid work เป็นการร่วมทำข้อตกลงวันทำงานกับองค์กรว่า พนักงานจะต้องเดินทางมาประจำการอยู่ที่ออฟฟิศสลับกับทำงานอยู่บ้าน (Work from home) หรือสามารถเปลี่ยนไปทำงานนอกสถานที่ได้เมื่อใดบ้าง เพื่อลดการเดินทางสัญจร ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เช่น ในช่วงโรคระบาด และการขาดแคลนทรัพยากรอย่างน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติจากภาวะสงคราม เป็นต้น
- Distributed work เป็นการทำงานออนไลน์และออนไซต์ ที่เป็นระบบและยืดหยุ่นสูง องค์กรจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมายใหญ่ แล้วให้สิทธิ์พนักงานบริหารเวลาทำงานเป็นทีมเวิร์กกันเอง โดยอาศัยการกระจายงานไปยังคนทำงานที่มีความรับผิดชอบสูงจากทุกสารทิศ มาร่วมทีมและลงมือทำไปพร้อม ๆ กัน โดยที่หัวหน้าทีมเป็นผู้กำหนดวันส่งงานอย่างเป็นสัดส่วน โดยแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน สามารถติดตาม ตรวจสอบสถานะการดำเนินงานได้ตลอดเวลา มีผู้คอยควบคุมงานให้ได้คุณภาพ และได้ปริมาณตามความคาดหวังขององค์กร และไม่ว่าเพื่อนร่วมทีมจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ไม่สำคัญ จะสะดวกทำงานในเวลากลางวันหรือกลางคืน หรือทำงานข้ามเขตเวลา (Time Zone) อยู่กันคนละประเทศ ก็สามารถบริหารเวลาทำงานให้จบงานพร้อมเพรียงกันได้ เพราะทุกคนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดี ว่ามีหน้าที่ทำงานใด ต้องส่งมอบงานต่อให้ใคร และรับไม้ต่อจากใคร ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud Computing) และโปรแกรมช่วยจัดตารางการทำงานที่บริษัทไว้วางใจเลือกใช้ พนักงานจึงมีอิสระที่จะสนุกกับชีวิตไปด้วยและเต็มที่กับงานไปด้วย โดยไม่ทำให้ชีวิตด้านใดด้านหนึ่งขาดสมดุล
แต่เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า ไม่ใช่ทุกอาชีพและไม่ใช่ทุกประเภทงานที่เหมาะจะทำงานระยะไกลจากที่ไหนในโลกก็ได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการศึกษา ที่ต้องคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และถึงแม้อาชีพไหนจะสามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างไม่มีรอยต่อ แต่สุดท้ายด้วยความเป็นมนุษย์ เราก็ยังต้องการการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานกันอยู่ดี
2. สร้างวัฒนธรรมองค์กรจากเสียงสะท้อนของพนักงาน และให้คุณค่าที่ทักษะความสามารถมากกว่าลำดับชั้นหรือวัยวุฒิ
หัวใจสำคัญของทุกองค์กรที่ประสบความสำเร็จ มักจะเกิดจากการรวมตัวของคนเก่ง ที่สนุกกับการทำงาน และพร้อมใจกันเป็นทีมเวิร์กที่ดี ซึ่งจะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้ต้องมาจากวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ที่คำนึงถึง ‘ความหลากหลาย’ (Diversity), ‘ความเสมอภาค’ (Equality), และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Unity) ของพนักงาน
หน้าที่หลักๆ ของผู้บริหารองค์กร นอกจากตั้งวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งไปข้างหน้าด้วยกันแล้ว องค์กรจะต้องรับฟังและให้พนักงาน เข้ามามีส่วนขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรด้วย ต้องคอยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงาน และสร้างความรู้สึกผูกพันกับองค์กร ผ่านนโยบายและการวางระบบการทำงานที่เหมาะกับประเภทของคนทำงานในธุรกิจนั้นๆ และเข้าใจว่าความสุขของพนักงานขึ้นอยู่กับอะไร
ซึ่งผลดีท้ายที่สุดจะตกแก่องค์กรเอง เพราะจะสามารถดึงดูดคนเก่งให้อยากมาร่วมงานด้วย ส่งผลให้องค์กรสามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจ และเติบโตเจริญรุดหน้าได้รวดเร็วขึ้น
องค์กรยุคใหม่เองก็ต้องการคนทำงานที่มีทักษะที่หลากหลายมาเข้าร่วมทีม มีความรอบรู้ทั้งลึกและกว้าง มีความเข้าใจข้ามศาสตร์ สมกับค่าตอบแทนที่สูงสมน้ำสมเนื้อกับความสามารถ ซึ่งเริ่มนิยมวางโครงสร้างลดการมีลำดับชั้นลง ให้อำนาจการตัดสินใจแก่เจ้าของแต่ละโครงการ เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนตัวของทีม เพิ่มความรวดเร็วในการจัดการกับปัญหา หรือสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ทันความต้องการของผู้บริโภคยิ่งขึ้นนั่นเอง
ภาพตัวอย่างการจัดทีมงานแนวราบ (Flat Organization) ซึ่งนิยมในองค์กรยุคใหม่
เทียบกับการทำงานแบบมีหลายลำดับขั้น (Hierarchical Organization
3. ร่วมงานกลมเกลียวกับ AI
ขณะนี้พวกเราก็กำลังก้าวเข้าสู่โลกยุคอัตโนมัติ (Automation Era) กันแล้ว เทคโนโลยี AI จริงๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่เราอยู่ในโลกดิจิทัลกันแล้ว และกำลังค่อย ๆ พลิกโฉม โลกของการทำงานไปอีกขั้น ซึ่งพวกเราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในเร็ววันนี้ได้ จึงต้องฝึกใช้เทคโนโลยีให้เก่งขึ้น เพื่อควบคุม AI ให้ช่วยเราทำงาน
งานจำเจที่เป็นกระบวนการทำอะไรซ้ำๆ ไม่ต้องใช้อารมณ์ ความคิดวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์มาเกี่ยวข้อง จะตกเป็นหน้าที่ของ AI แทบทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าอาชีพเก่าๆ ที่เราคุ้นเคยจะหายไปในทันที เพียงแต่จะดีกว่าถ้าเรามีทักษะที่ตอบโจทย์อาชีพในอนาคต โอกาสของน้องๆ ก็จะมีมากขึ้น
ส่วนอาชีพใหม่ในอนาคตจะมีอะไรบ้างนั้น น้องๆ สามารถติดตามอ่านจากบทความในคอลเลคชัน Starfish Future Labz บนเว็บไซต์ของเราได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเทรนด์ออฟฟิศที่กำลังจะเปลี่ยนไปทั้งหมดนี้ จริงๆ แล้วก็เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของเราในวัยทำงานนั่นเอง เมื่อรู้แบบนี้แล้วน้อง ๆ จะต้องเริ่มคิดแล้วล่ะว่า เราจะเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติเพื่อให้พร้อมรับมืองานการในวันข้างหน้าอย่างไร จึงจะสามารถพาตัวเองไปอยู่ในออฟฟิศในฝันแบบนั้นได้ หรืออย่างน้อยเรียนจบมาแล้ว จะไม่ตกงาน เท่าที่พี่ๆ จะบอกได้ในตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน เราก็ต้องคอยศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ และพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองให้กลายเป็นคนที่ ‘เลือกได้’ ไม่ใช่องค์กรเป็นฝ่ายเลือกเราอยู่ฝ่ายเดียว จริงไหมคะ
แหล่งอ้างอิง (Sources):
The Future of Work: Key Trends to Look Out for in 2022
Hierarchical VS flat organizational structures in the workplace
Related Courses
เขียน Prompt ใน ChatGPT อย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
อยากได้ผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจคุณทุกอย่างไหม? มาเรียนรู้วิธีสื่อสารกับ ChatGPT ผ่าน Prompt กันเถอะ! คอร์สนี้จะสอนเทคนิคกา ...
เขียน Prompt ใน ChatGPT อย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ต้องใช้ 100 เหรียญ
รวมมิตร เทคนิค เด็ดๆ การทำ Visual Note
คอร์สเรียนนี้ จะเป็นการรวบรวมเทคนิค ในการออกแบบ Visual Note เพื่อการจัดรูปแบบเนื้อหา ให้ได้ประเด็น มีใจความที่อ่านง่ ...
รวมมิตร เทคนิค เด็ดๆ การทำ Visual Note
ต้องใช้ 100 เหรียญ
เจาะลึกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เด็กรุ่นใหม่ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และต้องมีทักษะอะไรบ้างเพื่อรองรับกับอ ...
6 ขั้นตอน สร้าง Presentation ให้ปัง และดึงดูดใจผู้ฟัง
อยาก Presentation เก่งแบบมืออาชีพไหม? คอร์สนี้ตอบโจทย์แน่นอน! เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการสร้าง Presentation ที่ปัง ...