ทำความรู้จัก “โรคฝีดาษลิง” (Monkeypox) สังเกตอาการแบบไหน ป้องกันได้อย่างไร
โรคระบาดที่เคยคร่าชีวิตคนในสมัยก่อน จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ด้วยเชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คน ที่เราคุ้นชินกันในชื่อ “โรคฝีดาษลิง” (Monkeypox) ซึ่งกำลังเป็นโรคระบาดใหม่ทั่วโลกอยู่ ณ ตอนนี้ และในวันนี้เราจะมาทำความรู้จัก การสังเกตอาการ พร้อมแนะนำวิธีป้องกัน ซึ่ง Starfish Labz สรุปเนื้อหาให้อ่านเข้าใจง่ายๆ ให้ลองนำไปศึกษากันดูค่ะ
โรค “ฝีดาษ” หรือ ไข้ทรพิษ ที่เป็นโรคติดต่อรุนแรง และคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากไปในสมัยก่อน ในปัจจุบันนี้ก็กลับมาระบาดใหม่อีกครั้งในชื่อว่า “โรคฝีดาษลิง” (Monkeypox) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Orthopoxvirus ซึ่งติดต่อได้จากสัตว์สู่คน เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่งของสัตว์ที่มีเชื่อไวรัสนี้อยู่ อาจจะเป็นการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ป่วย ถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด หรือติดจากการหายใจใกล้ชิดกับสัตว์ที่ติดเชื้อ เป็นต้น
สำหรับการแพร่เชื้อจากคนสู่คนด้วยกันนั้น อาจจะมีโอกาสน้อยมาก แต่เราเองก็อย่าประมาทเด็ดขาด เพราะการแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านสารคัดหลั่ง ผิวหนังที่เป็นตุ่มเป็นแผล หรือรับเชื้อจากละอองฝอย การไอจาม การสูดลมหายใจร่วมกัน จากการพูดคุยกับผู้ป่วยที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย หรือทำกิจกรรมที่อยู่ใกล้ชิดกันมากๆ เช่น การกอด การจูบ หรือระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการสัมผัสสิ่งของที่มีการเจือปนเชื้อไวรัสที่ผู้ป่วยไปสัมผัส เช่นผ้าเช็ดตัว หรือโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วหญิงตั้งครรภ์ก็สามารถแพร่เชื้อสู่ลูกในครรภ์ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นหากติดโรคฝีดาษลิงขึ้นมาจริงๆ ให้สังเกตอาการและรักษาตัวทันที
สำหรับอาการเบื้องต้นมีหลายอย่าง เท่าที่จะสังเกตด้วยตนเองได้ คือ มีไข้ หนาวสั่น ปวดหัว เจ็บคอ ปวดหลัง รวมไปถึงปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต ร่างกายอ่อนเพลีย เป็นต้น จากนั้นจะเริ่มมีผื่นหรือตุ่มใสขึ้นมาคล้ายๆ กับอีสุกอีใส โดยส่วนใหญ่จะเริ่มออกที่ใบหน้าก่อนจะกระจายไปตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนที่พบบ่อย คือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จะมีอาการคันเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นสะเก็ดและหลุดออกมา โดยจะเริ่มมีอาการประมาณวันที่ 6–13 หลังได้รับเชื้อ หากอาการไม่รุนแรง การติดเชื้ออาจหายเองโดยไม่ต้องรักษา และคงอยู่ประมาณ 14–21 วัน ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดอักเสบ สมองอักเสบ ตาบอด ติดเชื้อแทรกซ้อน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอัตราการเสียชีวิตประมาณ 1–10 เปอร์เซ็นต์
หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่าโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) รักษาได้หรือไม่ เราไปหาคำตอบจากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้มาสรุปให้คร่าวๆ ว่าการรักษาฝีดาษลิงในขณะนี้ใช้การรักษาประคับประคองตามอาการ ยังไม่มียาที่ใช้รักษาอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งตอนนี้ได้มีการพิจารณานำยาต้านไวรัสที่ใช้
รักษาโรคฝีดาษมาใช้รักษาร่วมด้วยในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีอาการหนัก ประชาชนทั่วไปยังไม่มีความจำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนเหมือนกับโรคระบาดอื่นๆ เช่น โควิด-19 เนื่องจากโอกาสในการแพร่ระบาดยังเป็นวงจำกัด วัคซีนจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่พยาบาล ที่มีโอกาสสัมผัสโรคนี้ ซึ่งสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากมีความเสี่ยง และอาจต้องรอการศึกษาและพัฒนาการรักษาที่เหมาะสมต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามเราควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อ หากสงสัยว่ามีการระบาดของโรคฝีดาษลิง ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้ ส่วนการระมัดระวังป้องกันตนเองนั้นสามารถทำได้ง่ายๆโดยการล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รับประทานอาหารที่ปรุงสุก เป็นต้น
Sources:
ฝีดาษลิงน่ากลัวแค่ไหน ดูแลตัวเองอย่างไรจากไวรัสนี้
Related Courses
เติมเชื้อไฟ สร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
แรงจูงใจนั้นเป็นคุณสมบัติที่เราทุกคนมีติดตัวมาอยู่แล้ว แต่หากแรงจูงใจนั้นลดน้อยลงหรือหมดลงไปแล้วเราจะมาเติมและสร้างแรงจูงใ ...
Social Detox หยุดพักเพื่อล้างพิษโลกโซเชียล
Social Media Detox จะพาคุณออกจากความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้น มอบสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีกลับคืน รวมทั้งได้ช่วงเวลาอันมีค่ ...
ออกกำลังกายอย่างไรดีต่อสุขภาพ
การเรียนรู้เรื่องการออกกำลังกายอย่างไรดีต่อสุขภาพจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เริ่มต้นออกกำลังอย่างไรให้ถูกต้อง ประเภทการออกกำลังกา ...
แนะนำหลักสูตร well being
คอร์สเรียนนี้จะชวนให้ทุกคน กลับมาดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กๆ กันนะคะ เพราะทั้งสองเรื่องนี้ จะเป็นประโยชน์โดยตรง ...