ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567 วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2567 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1.เห็นชอบ แนวทางการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
สืบเนื่องจากสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้รับมอบนโยบายในการศึกษาสภาพอัตรากำลังและความก้าวหน้าทางวิชาชีพของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จาก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญในบทบาทของผู้เป็นศึกษานิเทศก์ซึ่งในปัจจุบันบริบทที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่จะเข้ามาเป็นศึกษานิเทศก์มีจำนวนลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อการสนับสนุนการพัฒนาวิชาการในสถานศึกษาในภาพรวมทุกสังกัด รวมถึงมีการตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ที่แท้จริงและความก้าวหน้าในวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และจัดทำแนวทางการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้น โดยที่ประชุม ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบแนวทางฯ ดังกล่าว ซึ่งจะนำไปสู่การปรับมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ปรับหลักเกณฑ์การคัดเลือก การกำหนดหลักเกณฑ์การพัฒนาก่อนแต่งตั้งและการปรับโครงสร้างอัตรากำลัง ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบการศึกษา มีความเป็นผู้นำทางวิชาการ มีประสบการณ์และสมรรถนะในการนิเทศการศึกษา นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
2. เห็นชอบ แนวปฏิบัติการนำผลการทดสอบความสามารถทางภาษาต่างประเทศ เทียบกับเกณฑ์ CEFR สูงกว่าระดับ B2 มาใช้ในการลดระยะเวลาตามเงื่อนไขคุณสมบัติเฉพาะสำหรับวิทยฐานะของผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ
ตามที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดการลดระยะเวลาตามเงื่อนไขคุณสมบัติเฉพาะสำหรับวิทยฐานะของผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ สายงานการสอน ตาม ว 4/2564 จาก 4 ปี เหลือ 3 ปี โดยมีการกำหนดว่า เป็นผู้มีความสามารถทางภาษาต่างประเทศ สูงกว่าระดับ B1 หรือ สำหรับครูผู้สอนในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ต้องมีระดับผลการทดสอบความสามารถทางภาษา สูงกว่าระดับ B2 (คือ C1 และ C2) โดยให้เทียบกับเกณฑ์ผลการทดสอบ CEFR ตามหลักเกณฑ์การเทียบเคียงผลการทดสอบและประเมินสมรรถณะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพครู ที่คุรุสภากำหนด ซึ่งหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว กำหนดผลการทดสอบฯ เทียบกับเกณฑ์ CEFR ในระดับ B2 แต่ไม่ได้กำหนดผลการทดสอบฯ เทียบกับเกณฑ์ CEFR ในระดับ C1 และ C2ไว้ ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีผลการทดสอบภาษาต่างประเทศเทียบกับเกณฑ์ CEFR เท่ากับ C1 ยังไม่สามารถนำผลการทดสอบดังกล่าว มายื่นคำขอเพื่อใช้ในการลดระยะเวลาฯ ได้ทันที ต้องขออนุมัติ ก.ค.ศ. พิจารณาเป็นการเฉพาะราย ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีผลการทดสอบความสามารถทางภาษาต่างประเทศที่สูงกว่าระดับ B2 (คือ C1 และ C2) สามารถนำผลการทดสอบไปใช้ลดระยะเวลาฯ ได้ทันที ก.ค.ศ. จึงมีมติเห็นชอบแนวปฏิบัติการนำผลการทดสอบความสามารถทางภาษาต่างประเทศ เทียบกับเกณฑ์ CEFR สูงกว่าระดับ B2 มาใช้ในการลดระยะเวลาตามเงื่อนไขคุณสมบัติเฉพาะสำหรับวิทยฐานะของผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ทั้งนี้ จะดำเนินการแจ้งแนวปฏิบัติฯ ให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติต่อไป
3. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ตามที่ สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม อันจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ในการพัฒนาเด็กและครูต่อไป และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567-2568 เรื่องการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาหลักเกณฑ์ วิธีการแต่งตั้ง โอน ย้ายของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในภูมิลำเนาที่ตรงกับความประสงค์ของตนเอง เน้นพิจารณาด้วยความโปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน นั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้ดำเนินการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับระยะเวลาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และได้นำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้น โดย (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ คุณสมบัติของผู้ขอย้ายกรณีปกติ นั้น ผู้ขอย้ายต้องดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ในสถานศึกษาปัจจุบันไม่น้อยกว่า 24 เดือน (2 ปี) โดยให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ยื่นคำร้องขอย้ายประจำปี เป็นการปรับระยะเวลาดำรงตำแหน่งจากหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่กำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 12 เดือน (1 ปี) ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารฯ ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาเรื่องการโยกย้ายบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องในการบริหารสถานศึกษา และเพื่อให้ผู้บริหารมีระยะเวลาในการพัฒนาสถานศึกษาได้ตามแผนพัฒนาสถานศึกษา ส่วนราชการสามารถบริหารอัตราตำแหน่งว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
4. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สืบเนื่องจากบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำลังจะหมดอายุบัญชีในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ สพฐ. ในฐานะส่วนราชการต้นสังกัด จึงได้หารือกับสำนักงาน ก.ค.ศ. เพื่อร่วมกันวางแนวทางในการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกฯ ใหม่ ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน และสอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้จัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้น โดยที่ประชุม ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ และ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม โดยสรุป ดังนี้
1) คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครคัดเลือก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์ ซึ่งต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง โดยกลุ่มประสบารณ์ มีคณสมบัติเพิ่มเติม คือ ต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี โดยให้พิจารณาเฉพาะการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษาเท่านั้น มิให้นําการรักษาการในตำแหน่งดังกล่าวมานับรวม และต้องมีผลการประเมินการพัฒนางานตามข้อตกลงในรอบการประเมินที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดสัดส่วนและจำนวนตำแหน่งว่างที่จะใช้บรรจุและแต่งตั้งในกลุ่มทั่วไปและกลุ่มประสบการณ์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตาม มาตรา 53 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547
2) หลักสูตรการคัดเลือก แบ่งเป็น 3 ภาค คือ
ภาค ก ความรอบรู้เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ และความสามารถในการวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้
ภาค ข การประเมินสมรรถนะทางการบริหาร โดยให้สถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา และมีประสบการณ์ในการดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินสมรรถนะทางการบริหารเป็นผู้ดำเนินการประเมิน ภาค ข และเสนอรูปแบบและวิธีการประเมินให้คณะกรรมการสรรหาฯ พิจารณา
ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง
3) เกณฑ์การตัดสิน
- ผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค ให้เรียงลำดับคะแนน ภาค ก จากผู้ที่ได้คะแนน ภาค ก จากมากไปหาน้อยจำนวนไม่เกินสองเท่าของจำนวนตำแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยต้องได้คะแนน ไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ
- ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนเฉพาะ ภาค ข และ ภาค ค แต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ โดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย
4) การขึ้นบัญชี
- ให้ขึ้นบัญชี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์ โดยกำหนดระยะเวลาขึ้นบัญชีไม่เกินหนึ่งปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศขึ้นบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก เว้นแต่มีการประกาศขึ้นบัญชีผู้ได้รับ การคัดเลือกครั้งใหม่ บัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกครั้งก่อนเป็นอันยกเลิก
5) การบรรจุและแต่งตั้ง
- ให้เลขาธิการ กพฐ. สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรฐานตำแหน่ง หลักเกณฑ์และวิธีการนี้ และประกาศไว้ในประกาศรับสมัคร ตามสัดส่วนที่กำหนด
- ให้มีการพัฒนาผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามที่ส่วนราชการกำหนด
- ยกเลิกการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดความซ้ำซ้อนเนื่องจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งต้องประเมินผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA)
5. เห็นชอบ (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ผ่านระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (School Capacity System : SCS) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้พัฒนาระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (School Capacity System : SCS) ขึ้น โดยระบบนี้ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากระบบบริหารทรัพยากรบุคคล (HRMS OBEC) ระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (DMC) ของ สพฐ. และระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (DPA) ของสำนักงาน ก.ค.ศ. และนำข้อมูลมาประมวลผลอัตรากำลังให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเกณฑ์อัตรากำลังฯ และเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอกที่ ก.ค.ศ. กำหนด เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถคำนวณอัตรากำลังได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา สามารถนำข้อมูลจากระบบ SCS ไปใช้ในการวางแผนบริหารอัตรากำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับภาระงานและบริบทของสถานศึกษา และถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่จะนำไปสู่การวางแผนผลิตและพัฒนากำลังคนเข้าสู่วิชาชีพครูในอีก 10 ปีข้างหน้า นั้น
ก.ค.ศ. จึงได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ผ่านระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (School Capacity System : SCS) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำระบบ SCS ไปใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดย (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังฯ มีสาระสำคัญ คือ
1. ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล หรือข้าราชการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามอบหมายในฐานะผู้ใช้งานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้ตรวจสอบและแก้ไข ปรับปรุงข้อมูลอัตรากำลังในสถานศึกษาให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบันผ่านระบบ SCS โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองความถูกต้องของข้อมูลอัตรากำลัง ทั้งนี้ การรับรองความถูกต้องให้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้รับรอง
2. การกำหนดอัตรากำลังสายงานการสอนตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอก ว 29/2565 ให้คำนึงถึงความต้องการจำเป็นของสถานศึกษาและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ โดยสามารถพิจารณาวิชาเอกได้ 2 วิธี ดังนี้
2.1 กลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
2.2 รายวิชา หรือวิชา หรือสาขา หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่ผ่านการประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
3. การบริหารอัตรากำลัง ผ่านระบบ SCS
3.1 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบข้อมูลอัตรากำลังของสถานศึกษาจากระบบ SCS โดยให้ใช้ข้อมูลนักเรียนรายบุคคล จำนวน 2 รอบ ประกอบด้วย รอบที่ 1 ข้อมูล ณวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี โดยให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในดือนกรกฎาคม และรอบที่ 2 ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม แล้วส่งให้สถานศึกษาตรวจสอบและเสนอความต้องการในการกำหนดสาขาวิชาเอกให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอกก่อนเสนอผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเห็นชอบ
ทั้งนี้ หากกายหลังจากที่ พิจารณาอัตรากำลังแต่ละรอบแล้ว ข้อมูลอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้งานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
ผ่านระบบ SCS
3.2 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานำข้อมูลรอบที่ 1 ที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองแล้ว จัดทำแผนอัตรากำลังเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และส่งไปยัง สพฐ, เพื่อตรวจสอบและรวบรวมส่งสำนักงาน ก.ค.ศ.เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ ก.ค.ศ. ในการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการฯภายในเดือนสิงหาคม
3.3 นำแผนอัตรากำลังและข้อมูลอัตรากำลังจากระบบ SCS ที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เห็นชอบแล้ว
มาใช้ในการพิจารณาบริหารอัตรากำลังของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
ในแต่ละรอบตามปฏิทินบริหารงานบุคคล ที่ สพฐ. กำหนด ประกอบด้วย การกำหนดสัดส่วนของจำนวนตำแหน่งว่างเพื่อใช้ในการย้ายและการบรรจุและแต่งตั้งจากบัญชีผู้ได้ รับการคัดเลือก ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา การกำหนดจำนวนตำแหน่งว่างเพื่อใช้ในการสรรหาครูผู้ช่วย การย้ายครู และกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
6. เห็นชอบ รายละเอียดตัวชี้วัดการประเมิน ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ขอให้ ก.ค.ศ. พิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดตัวชี้วัดและคะแนนการประเมิน ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ ในการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สอศ. ตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการสรรหา ฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย (ว 2/2567) ข้อ 1.2 วรรคสอง ที่กำหนดให้ส่วนราชการนำเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดตัวชี้วัดและคะแนนการประเมิน ภาค ค ก่อนแจ้ง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง แล้วแต่กรณี เพื่อดำเนินการต่อไป นั้น
ที่ประชุม ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตัวชี้วัดองค์ประกอบที่ 3 ภูมิลำเนาในส่วนการประเมินประวัติและผลงานซึ่งได้รับการรับรองจากผู้อำนวยการสถานศึกษา ไม่สอดคล้องกับบริบทในการบริหารจัดการศึกษาของ สอศ. เนื่องจากการดำเนินการคัดเลือกดำเนินการโดยส่วนกลางเพียงแห่งเดียว จึงเห็นควรให้ปรับเป็น การประเมินจากภาระงานอื่นที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติมจากการปฏิบัติหน้าที่สอน เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและภาระงานในความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการคัดเลือกเป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ สามารถคัดเลือกครูที่เป็นคนเก่ง คนดี มีความรู้ ความสามารถ มีศักยภาพ และประสบการณ์ในการสอนตรงตามความต้องการจำเป็นของสถานศึกษา
7. เห็นชอบ รายละเอียดการดำเนินการเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทั้งพื้นที่ปกติและพื้นที่พิเศษ ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา และอำเภอนาทวี) โดยรายละเอียดการดำเนินการดังกล่าว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1) การกำหนดองค์ประกอบในการคัดเลือกและวิธีการคัดเลือก
- ภาค ก ความรู้ความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ สำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จชต. เพิ่มเนื้อหาทดสอบความรู้ที่เกี่ยวข้องกับบริบท ประเพณีและวัฒนธรรมในพื้นที่
- ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ จชต. เรื่องระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและการปฏิบัติงานในเขตพิเศษเฉพาะกิจ จชต.
- ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง
2) เกณฑ์การตัดสิน
- ผู้ผ่านการคัดเลือก ภาค ก ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ จึงจะมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค
- ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนน ภาค ก ภาค ข และภาค ค รวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ โดยให้ ประกาศรายชื่อเรียงตามลำดับที่ผู้ได้คะแนนรวม ทั้ง 3 ภาค จากมากไปหาน้อย
3) ระยะเวลาการขึ้นบัญชี
- กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่ ประกาศขึ้นบัญชี
4) การเรียกตัวและเงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้ง
- การบรรจุและแต่งตั้ง ให้เรียกตัวผู้ได้รับการคัดเลือก ที่มีคุณสมบัติตรงตามตามมาตรฐานตำแหน่ง ตามลำดับที่ที่ขึ้นบัญชี
- กรณีผู้ได้รับการคัดเลือกรายใดเมื่อถึงลำดับที่ที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว ตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ติดเงื่อนไขอื่นใดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด จะถือว่าผู้นั้นหมดสิทธิในการบรรจุและแต่งตั้ง และให้ยกเลิกการขึ้นบัญชีเฉพาะรายนั้น
- เงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้งสำหรับผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตพัฒนาพิเศษ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี นับแต่วันที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งฯ จึงจะขอย้ายออกนอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จชต. ได้
5) การกำหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงาน
- ผู้อำนวยการสถานศึกษา จะต้องปฏิบัติงานตามกรอบภารกิจของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ และ สอศ. และยอมรับที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุตามองค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนนประเมิน และวิธีการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้บริหารที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนงานนโยบายในการบริหารสถานศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
8. อนุมัติ แต่งตั้งอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมทั้งสิ้นจำนวน 62 เขต
9. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 4 ราย
10. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2 ราย
11. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 2 ราย
12. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ราย
ที่มา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ข่าวที่เปิดอ่านมากที่สุด
พัฒนาทักษะอนาคตเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ให้กับนักเรียน กับกิจกรรม School Tour Future Youth Thailand @กาญจนบุรี
22.11.24
สพฐ. ร่วมกับ Starfish Education เปิดตัว การเรียนรู้แห่งอนาคต สร้างทักษะอนาคตเยาวชน Future Youth Thailand Building future skills Anywhere, Anytime
12.12.24
โรงเรียนปลาดาวต้อนรับคณะสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาการศึกษา
20.12.24
มูลนิธิสตาร์ฟิชเอ็ดดูเคชั่น เข้าพบท่านองคมนตรี รายงานผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ และรางวัล World best school ของโรงเรียนปลาดาว
07.12.24
Starfish Education เข้าร่วมแลกเปลี่ยนการประชุมเพื่อเก็บข้อมูลตามมิติพลังอำนาจของชาติ ด้านสังคมจิตวิทยา การขับเคลื่อนนโยบายด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
16.12.24