Self – retreat อย่างไร ให้มีความสุข? เมื่อต้อง Stay home

การ Self – retreat เป็นหนึ่งในวิธีสำหรับคนที่ต้องการให้เวลากับตัวเอง ทำกิจกรรมในสิ่งที่ชอบ อาจจะหาสถานที่สงบ อยู่กับธรรมชาติ ทำกิจกรรมพัฒนาตัวเอง เพื่อผ่อนคลายความเครียด ทำให้ตัวเองมีความสุข และเกิดแนวคิดพลังบวก ดังนั้น การ Self – retreat จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่บ้านนานๆ วันนี้เรามี ตัวอย่างกิจกรรมในการ Self-retreat ที่ทำแล้วมีความสุข เมื่อต้อง Stay home มาฝากค่ะ

8 ตัวอย่างกิจกรรมในการ Self-retreat ประกอบด้วย

1. ดูหนัง : สร้างพลังบวก สร้างแรงบันดาลใจ: เราลองมาเริ่มจากภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลต่างๆ ก่อน หรืออาจจะเป็น ภาพยนตร์เสียดสีสังคม อย่างน้อยๆ นอกจากความสนุกแล้ว เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ หรือความรู้ใหม่ๆ จากภาพยนตร์ก็ได้
2. ฟังเพลง : ที่ใช่ ปลุกกำลังใจ เติมไฟให้ชีวิต: การฟังเพลง การร้องเพลง หรือเล่นเครื่องดนตรี เป็นวิธีการบำบัดอย่างหนึ่งเพื่อคลายความเหงา และความเครียดได้ดี การฝึกร้องเพลง หรือเล่นดนตรี ผ่านหลายๆ แพลตฟอร์ม ยังเป็นการหาเพื่อนในโลกออนไลน์ไปด้วย 
3. วาดรูป : การวาดรูปทำให้ได้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ เป็นการฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา การฝึกใช้สี ทดลองสี หรือการผสมสีต่างๆ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด ลดความกดดันทางอารมณ์ และเป็นการส่งเสริมให้มีจิตใจที่ดีงาม
4. การจดไดอารี่ : นอกจากจะช่วยให้เราจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว ยังทำให้เราสามารถกลับมาย้อนอ่านเรื่องราวที่เคยบันทึกไว้ในอดีต ได้พัฒนาทักษะการเขียน ได้เรียบเรียงระบบความคิด ทำให้สมาธิจดจ่ออยู่กับตนเอง เพราะ เวลาเราเขียนไดอารี่ เราต้องใช้สมาธิเพื่อย้อนนึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนเราได้ใช้เวลาสั้นๆ คุยกับตัวเองในแต่ละวัน เป็นตัวชี้วัดพัฒนาการต่างๆ ในชีวิตเราว่าเราทำอะไรอยู่ และเรามีความคิดและทัศนคติแบบไหน ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาจนถึงวันนี้
5. อ่านหนังสือที่ชอบหรือบทความดีดี : การอ่านหนังสือเหมือนเป็นการออกกำลังสมองเพื่อสมองจะได้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นความจำเพราะการอ่านหนังสือสมองจะเก็บเนื้อหาที่อ่าน เมื่ออ่านหนังสือมาก ๆ สมองก็จะเก็บและเรียบเรียงข้อมูลทำให้ความจำเราดีขึ้น ทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์เนื้อหา เนื่องจากหนังสือบางชนิดมีเนื้อหาที่ต้องคิดตามหรือคลี่คลายปมต่าง ๆ ทำให้สมองได้คิดวิเคราะห์ จินตนาการตามเนื้อเรื่องที่อ่านตลอดเวลาซึ่งจะทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และมีไหวพริบที่ดีขึ้น
6. ออกกำลังกาย คาร์ดิโอ : คาร์ดิโอ (Cardio Exercise) เป็นการออกกำลังกายที่เป็นการเสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจไหลเวียนเลือดและปอดให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น เพิ่มศักยภาพในการออกกำลังกายให้ดีขึ้น และช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ เพื่อการลดน้ำหนักได้ดี
7. การทำสมาธิ : คือการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ให้ร่างกายสัมพันธ์กับจิตใจ การนั่งสมาธิแบบพื้นฐาน ควรเลือกนั่งในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก โดยนั่งขัดสมาธิขาไขว้กันทับฝ่าเท้า มือวางซ้อนทับกัน หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหรือเงยหน้า หลับตา พร้อมๆ กับค่อยๆ กำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้าให้กำหนด "พุทธ" และหายใจออกให้กำหนด "โธ" เพื่อให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจ การนั่งสมาธินอกจากช่วยให้เรามีสมาธิ และมีสติในการปฏิบัติงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการ ทำจิตใจให้สงบ และจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ลดความเครียด คลายความวิตก ฝึกความอดทนอดกลั้น ขจัดความคิดลบที่รบกวนจิตใจ และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น  สำหรับคนที่ฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิขั้นพื้นฐาน สามารถนั่งแบบเริ่มต้นได้ง่ายๆ ครั้งละ 5-10 นาที เพื่อให้จิตใจสงบ จดจ่อกับสมาธิในการเรียน และทำงาน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้น 
8. Big Cleaning Day : หมายถึง การทำความสะอาดในบริเวณที่ไม่ได้ทำทุกวัน ด้วยการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ จัดของให้เป็นระเบียบ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเทศกาลสำคัญ แต่ใช้ช่วงเวลาที่อยู่บ้านหรือช่วงเวลากักตัว 14 วัน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บ้านเราดูดีและสะอาดขึ้นได้

การ Retreat มีผลต่อสารสื่อประสาทและความคิดด้านบวก  นักวิจัยยังพบอีกว่าฮอร์โมน เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) เมื่อมารวมกันจะออกฤทธิ์เหมือนตอนที่เราถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 หรือตอนที่เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้มากๆ ดังนั้น คนที่ทำ Retreat เป็นประจำ จะมีกำลังใจและกำลังกายมากขึ้น สภาพจิตใจโดยรวมก็ดีขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะคิดบวกได้เสมอ ความเครียดลดลงตามไปด้วย

ที่มา​ : drorawan.com/th/รีทรีท-retreat-คืออะไร/