ถ้าให้เลือกใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงอ่านหนังสือ หรือ เล่นเกม เชื่อว่าเด็กหลายคนคงใช้ตัวเลือก
แบบที่สองโดยไม่ต้องลังเล เพราะผู้สร้างเกมตั้งใจออกแบบมาให้ผู้คนใช้เวลาเล่นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเบื้องหลังความสนุก ดึงดูดเด็ก ๆ นี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับศาสตร์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตลาด ธุรกิจ กิจกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งในห้องเรียน ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า ‘Gamification’
ขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com/photos/art-bright-brush-child-children-2941706/
‘Gamification’ คือการใช้องค์ประกอบ (Elements) ของเกม เช่น การตั้งเป้าหมาย (Goals) ความสนุก (Fun) การให้รางวัล (Reward) การแข่งขัน (Competition) ผลป้อนกลับ (Feedback) การจัดลำดับ (Level) เป็นต้น มาปรับใช้กับการเรียนการสอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เด็ก ๆ อยากมีส่วนร่วม และพัฒนาศักยภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเวลาเล่นเกมที่สามารถจดจ่ออยู่กับการเล่นได้นาน ๆ และมีความพยายามที่จะเล่นให้ผ่านด่านหรือเล่นให้ดีขึ้นในครั้งถัดไป โดยข้อดีหรือจุดเด่นของ Gamification คือ มีความท้าทาย กระตุ้นการแก้ปัญหา ทำให้มองเห็นพัฒนาการของตัวเอง บวกกับการให้รางวัลช่วยสร้างแรงจูงใจให้เด็ก ๆ อยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สำหรับการปรับใช้ Gamification ในแง่ของการศึกษา สามารถทำได้หลายวิธี โดยเราได้รวบรวมไอเดียที่น่าจะเป็นประโยชน์กับการเรียนการสอนในห้องเรียนมาฝากคุณครูกันในบทความนี้
1. ทำให้ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ เช่นเดียวกับเกมที่แพ้แล้วเริ่มใหม่ได้ เพราะเวลาเล่นเกมแพ้ มักจะมีคำว่า ‘Try Again’ หรือ ‘ลองเล่นอีกครั้ง’ จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็ก ๆ จะยังพยายามต่อไปเพราะรู้สึกมีความหวังที่จะเริ่มต้นใหม่ ไม่ได้รู้สึกแพ้ไปตลอดกาล ซึ่งถ้าเราสามารถสร้างบรรยากาศในลักษณะนี้ โดยเปลี่ยนจากคำว่า ‘ทำไม่ได้’ มาเป็น ‘ยังทำไม่ได้’ และเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ลองผิดลองถูกก็จะช่วยให้พวกเขามีแรงจูงใจ ไม่ยอมแพ้ไปง่าย ๆ
ขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com/photos/class-learning-brother-1416904/
2. เปิดโอกาสให้มีการ Feedback ทันที เหมือนกับเกมที่ผู้เล่นจะรู้ทันที ว่าเลือกตัวเลือก หรือเดินไปในทิศทางที่ถูกหรือผิด เพราะการรู้ Feedback ช่วยให้ผู้เล่นไปต่อได้ถูกทิศ เพราะเริ่มจับทางได้ว่าอะไรถูกผิด ดังนั้นการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เอื้อต่อการให้ และรับ feedback นั้นจะช่วยให้เด็ก ๆ พัฒนาตัวเองได้ถูกทิศทางมากยิ่งขึ้น เพราะบางทีพวกเขาอาจมีแรงจูงใจอยากจะทำให้ดีขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากจุดไหนก่อน ซึ่งการใช้วิธีนี้อาจจะทำได้ทั้งครูให้ feedback นักเรียนรายบุคคล (กรณีที่นักเรียนจำนวนน้อย) หรือแบ่งกลุ่มให้เด็ก ๆ ทำงานร่วมกัน และมีกิจกรรมที่เขียน feedback เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สมาชิกในกลุ่ม
3. ทำให้เห็นความคืบหน้าชัดเจนขึ้น เหมือนกับเกมที่มีระดับ (Level) ของผู้เล่น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเกรด คะแนน หรือจัดลำดับเด็กแต่ละคน แต่เป็นลำดับให้เขาได้เห็นพัฒนาการของตัวเองโดยเน้น “การแข่งกับตัวเอง” เป็นหลัก โดยอาจจะให้เด็ก ๆ ตั้งเป้าหมายของตัวเอง หรือช่วยกันตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าแต่ละระดับมีเกณฑ์อย่างไรบ้าง เช่น ทำเป็นสมุดบันทึก แถบสี สติกเกอร์ ที่เป็นสัญลักษณ์บอกระดับของตัวเองเก็บไว้กับตัวเอง
4. เพิ่มความสนุกให้การบ้าน หรือโครงงานต่าง ๆ ด้วยการทำเป็นภารกิจแสนท้าทาย เช่น เปลี่ยนจากการให้โจทย์เลขกลับไปทำแล้วมาเฉลยในวันถัดไป มาเป็นการให้โจทย์เลข แล้วพรุ่งนี้จะนำมาเป็นรหัสตู้เซฟปริศนา ถ้ารหัสถูกก็จะได้รางวัลในตู้เซฟนั้น โดยอาจจะเป็นขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมิชชั่นอื่น ๆ เป็นด่านถัดไป
5. เรียนรู้อย่างมีทางเลือก หลายครั้งที่ในเกมจะมีตัวเลือกให้ผู้เล่น เช่น ใช้ไอเท็มนี้เป็นตัวช่วยหรือต่อเวลาในการเล่นให้เพิ่มขึ้น เพราะผู้เล่นแต่ละคนมีวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ที่มีความถนัดหรือทางเลือกที่จะไปถึงเป้าหมายแตกต่างกันออกไป ซึ่งคุณครูสามารถนำคอนเซ็ปต์นี้มาใช้ในห้องเรียน เช่น เปลี่ยนจากการสอบวัดผลเพียงอย่างเดียว มาเป็นวิธีที่หลากหลายยิ่งขึ้น อาจเป็นการพรีเซ็นต์ การประดิษฐ์สิ่งของ โครงงาน หนังสั้น หรือวิธีอื่น ๆ โดยมีเกณฑ์สำคัญคือสิ่งเหล่านี้ต้องแสดงถึงความเข้าใจครอบคลุมในสิ่งที่เรียนไป ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ ฝึกการเชื่อมโยง ประยุกต์ใช้สิ่งที่เรียนกับความถนัดหรือชีวิตประจำวันของตัวเองมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลากับการคิดเกณฑ์การวัดผลให้เท่าเทียมกัน
6. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ : แม้ Gamification จะไม่จำเป็นต้องใช้เกมหรือเทคโนโลยี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กยุคนี้คุ้นเคย และใกล้ชิดกับเทคโนโลยีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการนำเทคโนโลยี หรือแพล็ตฟอร์มออนไลน์เข้ามาสอดแทรกระหว่างเรียน เช่น Kahoot Class Dojo Class Craft ก็ช่วยดึงความสนใจให้เด็ก ๆ อยากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในห้องเรียนมากขึ้นได้เช่นกัน
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เด็ก ๆ สนใจนอกห้องเรียนก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเกม หรือเรื่องอื่น ๆ เช่น ซีรีส์ การ์ตูน หนัง เพลง เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาถอดบทเรียนเพื่อปรับใช้ให้ประโยชน์กับการเรียนการสอนในห้องเรียนได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก
● https://www.teachthought.com/pedagogy/how-to-gamify-your-classroom/
Related Courses
Micro Learning - แหล่งเครื่องมือช่วยครูจัดการชั้นเรียน
Starfish แหล่งเครื่องมือช่วยครูในจัดการชั้นเรียนที่หลากหลาย เช่น Starfish Labz, Starfish Class แบบเว็บไซต์ และแ ...



คู่มือการสอนนวัตกรรม 3R ฉบับบ้านปลาดาว
คงจะดีถ้าการอ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป นวัตกรรม3R โรงเรียนบ้านปลาดาว ได้ออกแบบชุดการสอนที่ง่ายและเกิดผล ...



Scenario Based Learning วิธีการเรียนแบบไม่ให้ Loss
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ฉากทัศน์เป็นฐาน ทำให้นักเรียน เรียนรู้ผ่านสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับความจริง และช่วยพัฒนาทักษะในการทำ ...



Micro Learning การเรียนรู้แบบพอดีคำ
ฉีกกฏการเรียนการสอนแบบเดิมด้วยเทรนด์การเรียนรู้แนวใหม่แบบสั้น ง่าย ได้ความรู้ กับเทคนิคการสอนแบบพอดีคำ เพื่อลดภาระและ ...



Related Videos


เทคนิคการสอน สอนอย่างไรให้ได้ “สมรรถนะ”
![Starfish Country Home School Foundation [ENG]](https://img.youtube.com/vi/eeT-qLyd87U/mqdefault.jpg)

Starfish Country Home School Foundation [ENG]


สรุปโครงการ TSQP ทั้ง 2 รุ่น

