ชวนลูกคิด เหตุผลแบบไหนที่ไม่ใช่เหตุผล
เวลาเด็กๆ ได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ บางครั้งอาจจะมีข้อมูลที่ตกหล่นหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ทำให้ต้องอาศัยคำแนะนำจากผู้ปกครองว่าเรื่องไหนควรตัดสินใจเชื่อ หรือเรื่องไหนควรคิดให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถอยู่กับเด็กๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการปลูกฝังให้เขามีหลักคิดที่เป็นเหตุเป็นผลตั้งแต่ต้น จะช่วยให้เขากลายเป็นคนที่รู้จักคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) และไม่หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้องได้ง่ายๆ
ขอบคุณภาพจาก jambulboy
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่อยากจะปลูกฝังทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับเด็กๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน วันนี้เรามีหลักการที่สามารถนำไปปรับใช้กับการสอนลูกให้คิดอย่างมีเหตุผลได้ ซึ่งหลักการนี้เรียกว่า ตรรกะวิบัติ หรือ Fallacy นั่นเอง
ตรรกะวิบัติ (Fallacy) คืออะไร ?
ตรรกะวิบัติ หรือ Fallacy เป็นการอ้างเหตุผลที่บกพร่อง ไม่สมเหตุสมผล โดยในบทความนี้เราจะขอพูดถึงตรรกะวิบัติทางจิตวิทยา (Psychological Fallacy) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฟังเผินๆ แล้วดูเหมือนจะน่าเชื่อถือ หรือชวนให้เรารู้สึกคล้อยตาม แต่จริงๆ แล้วไม่ได้สมเหตุสมผลในเชิงตรรกะ หากแต่เป็นการอ้างเหตุผลทางความรู้สึก (emotional appeal) แทน เช่น การใช้ความสงสาร การใช้ความกลัว เพื่อให้ผู้ฟังยอมรับเหตุผลนั้น แม้จะไม่สมเหตุสมผล โดยตรรกะวิบัติทางจิตวิทยานี้ สามารถพบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่โฆษณาชวนเชื่อไปจนถึงบทสนทนาระหว่างวันเลยทีเดียว
จะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าเราใช้เหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผล ?
ตรรกะวิบัติทางจิตวิทยามักเกิดจากอคติ (bias) ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะอคติ (bias) จะช่วยให้เราไม่เสียเวลาเริ่มต้นวิเคราะห์หรือแยกแยะสิ่งต่างๆ หลายๆ รอบ อย่างเวลาโดนมีดบาดมือครั้งแรก เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ และมองมีดในฐานะของมีคมที่อันตรายมากกว่าของเล่น ซึ่งก็นับเป็นข้อดีได้เหมือนกัน แต่บางทีก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาตรรกะวิบัติได้ อย่างเวลาพ่อแม่บอกว่า“ถ้ากินข้าวไม่หมด คุณลุงข้างบ้านจะจับไปกินนะ” พอโตขึ้นเด็กๆ ก็อาจจะเชื่อมโยงการกินข้าวหมดกับความกลัว แทนที่จะเป็นการนึกถึงผลกระทบจากการกินข้าวไม่หมด แถมยังแอบกลัวคุณลุงข้างบ้านเพราะเข้าใจผิดไปว่าคุณลุงจะจับเขาไปกินจริงๆ
ดังนั้น การใช้เหตุผลทางความรู้สึก หรือตรรกะวิบัติทางจิตวิทยาดังกล่าวจึงส่งผลต่อชีวิตประจำวันทั้งของเด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ เช่น
- การอาจจะเข้าใจหรือตีความสิ่งต่างๆ คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง รวมทั้งตกเป็นเหยื่อของข่าวสารที่ไม่น่าเชื่อถือหรือข้อมูลเท็จต่างๆ
- ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใช้เหตุผลเหล่านี้คุยกับลูก อาจจะทำให้พวกเขาทำตาม เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ถูกต้อง และนำไปใช้กับเพื่อน โรงเรียน หรือสังคมภายนอก จนอาจจะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้
- เมื่อไม่ได้พูดคุยกันด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ หรือหลักฐานที่พิสูจน์ได้ อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น เพราะกลายเป็นข้อถกเถียงแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ขอบคุณภาพจาก Megan_Rexazin
เหตุผลแบบไหนบ้างที่เรียกว่าเป็น ตรรกะวิบัติทางจิตวิทยา ?
จริงๆ แล้วตรรกะวิบัติที่ว่านี้มีหลายรูปแบบมาก วันนี้เราเลยขอยกตัวอย่างบางรูปแบบมักจะพบเห็นบ่อยๆ ตามสื่อหรือบทสนทนาชีวิตประจำวัน ไปดูกันเลยดีกว่าว่าคุณเคยพบเห็น หรือเผลอใช้ Fallacy ต่อไปนี้กับลูกๆ บ้างหรือเปล่า
- การใช้ความสงสาร (Appeal to Pity) : เป็นการอ้างเหตุผลโดยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นใจ สงสาร ทั้งที่ไม่มีหลักฐานหรือข้อสนับสนุน เช่น การใช้รูปภาพโฆษณาที่เป็นเด็กหรือคนที่ดูน่าสงสาร ทั้งที่คนในภาพอาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้านั้นเลย หรือการอ้างว่า “ปล่อยไปเถอะ อย่าไปเอาผิดเขาเลย เพราะยังไงตอนนี้เขาไม่ค่อยสบาย แถมมีเรื่องเครียดหลายอย่าง”
- การอ้างคนส่วนมาก (Appeal to the People) : เป็นการให้เหตุผลว่าคนส่วนมากคิดหรือทำแบบนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนต่อเหตุผลของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นคนส่วนน้อย และไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ ทั้งที่จริงสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ตัวอย่าง Fallacy ประเภทนี้เช่น “80% ของเด็กไทยทั่วประเทศใช้ปากกายี่ห้อนี้ ดังนั้น น้องๆ ควรซื้อปากกายี่ห้อนี้มาใช้” หรือ “ใคร ๆ ก็ลอกข้อสอบกัน ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้”
- การโจมตีที่ตัวบุคคล (Personal Attack) : การอ้างเหตุผลไปที่ตัวบุคคลหรือตัวผู้พูด โดยไม่ได้สนใจความสมเหตุสมผลของเนื้อหาสาระที่พูดออกมา ซึ่งอาจจะทำให้พลาดข้อมูลที่ถูกต้องหรือสมเหตุสมผลไป เช่น “A เป็นคนทำแก้วแตกแน่เลย เพราะ A เป็นคนซุ่มซ่าม” หรือ ตอนที่คุณแม่เตือนให้ลูกพูดเพราะๆ แล้วลูกตอบว่า “ทีคุณแม่ยังพูดไ่ม่เพราะตอนขับรถเลย”
- การเบี่ยงประเด็น (Red Herring) : คือการเบี่ยงประเด็นหรือเปลี่ยนเรื่อง โดยนำข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เชื่อมโยงกับเรื่องที่พูดคุยกันมาอธิบายเหตุผล เช่น A บ่นว่า “สิวขึ้นอีกแล้ว เพราะช่วงนี้นอนดึกแน่เลย” คุณแม่เลยตอบว่า “ก็อยู่หน้าจอโทรศัพท์ทั้งวัน เลยทำให้สุขภาพไม่ดี เดี๋ยวสายตาก็เสียแถมเกรดก็ตกลงไปด้วยหรอก”
- การสร้างทางเลือกลวง (False Dilemma) : คือการสร้างทางเลือกแค่สองทาง หรือบีบบังคับให้เลือกตามชอยส์ที่บอกมา ทั้งที่จริงอาจจะมีทางเลือกอื่นอีกหลายอย่าง เช่น เด็กๆ ไปโรงเรียนแล้วเจอรุ่นพี่บอกว่า “ถ้าไม่ชอบกิจกรรมนี้ ก็ลาออกจากชมรมไป” ทั้งที่จริงการเข้าชมรมควรเป็นความสมัครใจ ส่วนความชอบหรือไม่ชอบกิจกรรมในชมรม จริงๆ แล้วมีทางเลือกอื่นๆ อย่างการพูดคุยกันว่าทำไมถึงไม่ชอบกิจกรรมนี้ และปรับยังไงได้บ้าง โดยไม่ได้มีทางเลือกแค่การอยู่หรือไปจากชมรมเท่านั้น
นอกจากจะสอนเด็กๆ ให้มีหลักการคิดอย่างมีเหตุผลแล้ว บางครั้งเราเองอาจจะต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองด้วยว่า เราเคยเผลอใช้เหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผลแบบนี้กับลูกบ้างหรือเปล่า เพราะสิ่งสำคัญกว่าการสอน คือการเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาเชื่อถือและอยากปฏิบัติตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.unlockmen.com/fallacy-critical/
https://examples.yourdictionary.com/examples-of-fallacies.html
http://old-book.ru.ac.th/e-book/p/PY105(46)/py105_04_12.pdf
https://io9.gizmodo.com/critical-thinking-explained-in-six-kid-friendly-animati-5888322
Related Courses
ฝึกทักษะพื้นฐานในการตัดสินใจ (Decision Making)
การตัดสินใจที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ถ้าหากได้รับการฝึกฝนทักษะการตัดสินใจตั้งแต่วัยรุ่น ก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิ ...
ศิลปะแห่งการตั้งคำถามในห้องเรียน
“การตั้งคำถาม” ถือเป็นเครื่องมือการสอนที่สำคัญอย่างหนึ่งที่คุณครูสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ...
How to รู้เท่าทันมิจฉาชีพบนโลกไซเบอร์
ทุกวันนี้การใช้งานบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับดาบสองคม ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ เสมอไป ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วว่าจะเลือกข้อมูลด้านไหน ...
พัฒนาการด้านร่างกายสำคัญอย่างไร
เรียนรู้ความสำคัญ ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย แนวทางการจัดประสบการณ์และการประเมินพัฒนาการด้านร่า ...