10 เทรนด์ EdTech แห่งปี 2023: เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ยุคใหม่
เมื่อการเติบโตของ EdTech ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสถานศึกษาอีกต่อไป เพราะคนทำงานต่างก็หันมาเร่งอัปสกิลพัฒนาตัวเองกันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นเทรนด์การเรียนรู้ตลอดชีพ (Lifelong Learning) และด้วยมูลค่าตลาด EdTech ที่คาดว่าจะเติบโต 16.5% ต่อปีในช่วงปี 2022 – 2030 ลองมาดูกันว่าเทรนด์ EdTech ในปี 2023 มีอะไรบ้างที่น่าจับตามอง
1. Personalized Learning
เมื่อผู้เรียนแต่ละคนมีอัตราการเรียนรู้หรือความสนใจเนื้อหาที่ต่างกันออกไป การสอนด้วยวิธีการเดียวอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเพราะบทเรียนไม่ได้สนองตอบต่อผู้เรียนเป็นรายบุคคล ดังนั้น การเรียนการสอนยุคใหม่จึงถูกปรับให้มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้นการออกแบบบทเรียนที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งผู้เรียนก็สามารถเลือกเรียนวิชาได้ตามความสนใจ ติดตามความคืบหน้า และโฟกัสไปที่จุดอ่อนของตัวเองได้อย่างตรงจุดมากขึ้น Personalized Learning จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่จะเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นในช่วงปีนี้
2. Subscription-based Model for Learning
สมัยนี้ก็มีแพลตฟอร์มการศึกษาที่ใช้โมเดล Subscription-based เช่นเดียวกันที่เปิดให้ผู้เรียนได้สมัครรายเดือนหรือรายปี และเรียนกี่วิชาก็ได้ภายในระยะเวลาที่เป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งต่างจากการเรียนออนไลน์แบบเดิมที่ผู้เรียนต้องเลือกชำระเงินเรียนทีละรายวิชาและต้องเรียนให้จบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ในช่วงปี 2020 – 2022 มีแพลตฟอร์มการศึกษาแบบ Subscription-based model เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
3. Hybrid Learning / Blended Learning
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เทคโนโลยีการศึกษาบูมขึ้นมา ทำให้สถานศึกษาทั่วโลกต่างต้องหันมาสอนทางออนไลน์กันมากขึ้นโดยหลายๆโรงเรียนก็เริ่มใช้โมเดลการสอนแบบ Hybrid Learning ที่ครูอาจารย์สอนในห้องที่มีนักเรียนอยู่ที่โรงเรียน พร้อม ๆ กับถ่ายทอดสดไปยังผู้เรียนออนไลน์ที่อยู่ทางบ้านรวมถึงแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมประสบการณ์การเรียนรู้กันมากขึ้นอย่างแพร่หลาย ด้วยแนวทางแบบ Blended Learning ที่นำสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ แบบออนไลน์เข้ามาผสมผสานกับการเรียนการสอนแบบออฟไลน์ ทำให้ครูไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นแหล่งข้อมูลความรู้เพียงแหล่งเดียวอีกต่อไป แต่เข้ามาเป็นผู้เอื้ออำนวยกระบวนการเรียนรู้ (Learning Facilitator) และเป็นผู้ให้คำปรึกษา (Mentor) ด้วย
4. Nano Learning / Bite-sized Learning
Nano Learning หรือ Bite-sized Learning คือ การแบ่งย่อยเนื้อหาเป็นส่วน ๆ ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถรับอินพุตขนาดกำลังพอดีผ่านสื่อการเรียนรู้ในเวลาที่จำกัดได้ในช่วงเวลาตั้งแต่ 2 – 10 นาที ซึ่งการแบ่งย่อยบทเรียนทีละส่วนเช่นนี้จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจและเรียนรู้เนื้อหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการถ่ายทอดบทเรียนเป็นชั่วโมงซึ่งอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการใช้สมาธิต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานได้
5. Gamification
Gamification เป็นเทคนิคฝึกทักษะแก้โจทย์ปัญหา โดยใช้กลไกของเกมเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น พัฒนาทักษะและเรียนรู้ผ่านเกมได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด อีกทั้งยังช่วยทบทวนความจำและทำให้เรื่องยาก ๆ เข้าใจได้ง่าย ตอบโจทย์วัตถุประสงค์การเรียนรู้ กระตุ้นผู้เรียนให้บรรลุเป้าพร้อมกับได้รับฟีดแบ็กทันทีการใช้เกมกับการเรียนรู้ไม่ได้ใช้แค่ในเฉพาะกลุ่มนักเรียนในสถานศึกษา แต่ยังรวมไปถึงการใช้ฝึกพนักงานตามบริษัทด้วย เพราะโดยธรรมชาติแล้วคนทุกช่วงวัยต่างชอบเล่นเกมด้วยความรู้สึกท้าทายอยากเอาชนะในแต่ละด่าน เมื่อเกมเข้ามาเป็นตัวกลาง ก็ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกเพลิดเพลิน และรู้สึกมีส่วนร่วมกับบทเรียนมากยิ่งขึ้นไปด้วย
6. Augmented Reality & Virtual Reality
AR และ VR กลายเป็นสองเทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อนการพลิกโฉมแวดวงการศึกษาด้วยการจำลองบทเรียนหรือแนวคิดที่ซับซ้อนให้ผู้เรียนเห็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น บทเรียนเกี่ยวกับ STEM การจำลองเนื้อหาด้านการแพทย์ ศิลปะและวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยประสบการณ์เสมือน ขยายโอกาสในการทดลองต่าง ๆ ลดการท่องจำพร้อมส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมของผู้เรียน ปัจจุบันก็มีตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการใช้ AR/VR เพื่อการศึกษา ได้แก่ Wonderscope, Mondly, JigSpace ซึ่งคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยี AR/VR จะเข้ามาครองพื้นที่ EdTech เพื่อเสริมการเรียนรู้ในวงกว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน
7. Digital and Comprehensive Online Assessments / AI-powered Assessment
การวัดและประเมินผลความรู้เชิงทฤษฎีแบบดั้งเดิมจะกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว เพราะมีแนวโน้มการประเมินผู้เรียนโดยอิงตามความรู้ในทางปฏิบัติ การทดลอง การลงพื้นที่ทำจริงเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งรูปแบบการสอบจะเน้นไปที่การจัดสอบทางออนไลน์ ทั้งภาคปฏิบัติและการสอบปากเปล่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถาบันการศึกษาจะเริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยในการจัดสอบและระบบประเมินผลด้วยการอัดเสียงผ่านออนไลน์เทคโนโลยี AI ก็เข้ามามีบทบาทในการวัดประเมินผลความรู้เช่นเดียวกับการจัดการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ด้วยฟีเจอร์ AI ที่ประเมินผ่านทางออนไลน์จะแสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลการเรียนของนักเรียน การวิเคราะห์กลุ่ม และการวิเคราะห์ผู้เรียนเดี่ยวในแต่ละหัวข้อบทเรียน ซึ่งการใช้ AI-powered Assessment จะช่วยลด Bias หรือความไม่เที่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผู้วัดผลที่เป็นมนุษย์ได้ และให้ฟีดแบ็กแก่ผู้เรียนรายบุคคลได้
8. Exam Management with EdTech
การจัดสอบโดยทั่วไปยังอยู่ในรูปแบบดั้งเดิมอยู่ที่มีศูนย์จัดสอบ การคุมสอบ การตรวจกระดาษคำตอบแบบแมนนวล ซึ่งเป็นงานที่ซ้ำซากจำเจ และใช้แรงงานคนมากเกินจำเป็น จุดนี้เองที่ AI เข้ามาช่วยในเรื่องของระบบการจัดการสอบ เช่น ระบบคุมสอบด้วย AI (AI-based Proctoring) หรือ การคุมสอบทางไกลอัตโนมัติ (Auto-remote Proctoring) ที่ให้สถาบันดำเนินการจัดสอบได้โดยไม่ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานหรือโลจิสติกส์ใด ๆเทคโนโลยีคุมสอบทางไกล (Remote Proctoring Technology) สามารถเข้ามาช่วยให้นักเรียนเข้าสอบจากที่ไหนก็ได้ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้อินเทอร์เน็ต โดยระบบจะติดตามอิริยาบถของผู้สอบทางไกลผ่านการสตรีมวิดีโอ ภาพและเสียง ซึ่ง AI จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่านักเรียนกำลังทำข้อสอบโดยสุจริตอยู่
9. Digital & Cloud-based Infrastructure
นอกจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ต้องเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้ว สถาปัตยกรรมโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการสนับสนุนเส้นทางการศึกษาในอนาคตของนักเรียน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้เห็นห้องเรียนแบบดิจิทัลกันมากขึ้นที่ผสานนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามา เช่น กระดานไวท์บอร์ดอินเทอร์แอคทีฟ โปรเจกเตอร์ ห้องแล็บ ICT หรือศูนย์มัลติมีเดีย เกมการศึกษา ซอฟต์แวร์การจัดการ ระบบ E-learning บนคลาวด์ และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้เปิดโอกาสใหม่ให้กับการเรียนการสอนยุคนี้
10. Blockchain
เทคโนโลยีบล็อกเชนนำมาใช้เป็นหลักฐานบันทึกข้อมูลเพื่อยืนยันทักษะและความเชี่ยวชาญรูปแบบดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบได้และไม่สามารถแก้ไขดัดแปลงได้ เช่น การจัดเก็บข้อมูลนักเรียนขนาดใหญ่อย่างมั่นคงปลอดภัยสูงสุด การเก็บบันทึกและจัดการหลักฐานวุฒิการศึกษาในภาพรวม การใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนในภาคการศึกษานั้นถือว่ามีศักยภาพในการเพิ่มความถูกต้องแม่นยำและเชื่อถือได้ อย่างการเก็บประวัติของนักเรียน ทำให้สถานศึกษารวมไปถึงนายจ้างสามารถตรวจสอบประวัติข้อมูลประจำตัวของผู้เรียนได้ โดยมั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ผ่านการปลอมแปลง นอกจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังมอบความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดเก็บ Course Syllabus และ Coursework รายวิชาต่าง ๆ ในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น
อ่านรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม : www.adpt.news/2023/01/17/10-edtech-trends-2023/
ข่าวที่เปิดอ่านมากที่สุด
โรงเรียนปลาดาวได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลโรงเรียนยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรมระดับโลก World’s Best School Prizes for Innovation โดยเป็นผู้นำในการบุกเบิกการศึกษาเพื่อความเท่าเทียมสำหรับทุกคน
28.10.24
จัดอย่างยิ่งใหญ่! FutureEd Fest 2024 งานเทศกาลการศึกษา มุ่งสร้างอนาคตการเรียนรู้
07.10.24
Starfish Education ร่วมงาน didacta asia 2024 และ didacta asia congress เสนอนวัตกรรมการศึกษาสำหรับอนาคต
21.10.24
CEO Starfish Education ร่วมเวทีการประชุมนานาชาติ didacta asia 2024: Ministerial Panel on "Southeast Asia Education Policies"
17.10.24
Starfish Education เสนอแนวคิดนวัตกรรมการศึกษาต่อกระทรวงศึกษาธิการ
16.10.24
คุรุสภา ไฟเขียว ร่างประกาศยกเว้นใบอนุญาตครูชั่วคราว ขับเคลื่อนมาตรฐานการผลิตครู
02.11.24