‘ใส่สุด และ ใส่ใจ’ แนวคิดเลี้ยงลูกเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกสร้างความหมายของชีวิตตัวเองสไตล์ พ่อบอล แม่ปุ้ม

Starfish Academy
Starfish Academy 1828 views • 1 ปีที่แล้ว
‘ใส่สุด และ ใส่ใจ’ แนวคิดเลี้ยงลูกเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกสร้างความหมายของชีวิตตัวเองสไตล์ พ่อบอล แม่ปุ้ม

“เวลามองเข้ามาบ้านเรามันเห็นชัดเลยเหรอครับ เรื่องการสนับสนุนลูก” 

พ่อบอลถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เพราะมองว่าการสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากทำนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับพ่อแม่ทุกคน ทั้ง ‘พ่อบอล-จตุพร เจริญลาภนำชัย’ และ ‘แม่ปุ้ม-อรอนงค์ เจริญลาภนำชัย’ ต่างมีความเชื่อว่าการให้ลูกชายทั้งสองคน ‘จอมทัพ-จอมทัพ เจริญลาภนำชัย’ และ ‘ขุนพล-ขุนพล เจริญลาภนำชัย’ ได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ลองผิดลองถูก ลองเรียนรู้เอง เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะติดตัวลูกไปตลอด แม้วันหนึ่งความชอบของลูกอาจแปรเปลี่ยนไปก็ตาม

“บ้านนี้เลี้ยงลูกใส่สุดดี” คือคำพูดที่พ่อบอลได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เพราะหลายคนมองเห็น ‘ความใส่สุด’ ของครอบครัวนี้ จากการที่ได้เห็นลูกชายคนโตอย่างจอมทัพทำกิจกรรมที่ชอบและสนใจ นั่นคือการถ่ายภาพสัตว์ป่า กระทั่งมีโอกาสได้พัฒนาฝีมือจนคว้ารางวัลจากเวทีประกวดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลการประกวดภาพถ่าย 'สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ' ประจำปี 2565 รางวัล Nature in Focus Photography Awards 2022 และล่าสุดจอมทัพก็เพิ่งคว้ารางวัลชมเชยจากเวทีประกวดภาพถ่ายสัตว์ป่าระดับโลก Wildlife Photographer of the Year - Highly Commended ปี 2022 มาอีกหนึ่งรางวัลด้วยวัยเพียง 14 ปี 

ส่วนลูกคนที่สองคือขุนพล เริ่มมีความสนใจในกิจกรรมที่หลากหลายทั้งการทำอาหาร อ่านหนังสือ และวาดรูป ได้ลองลงมือทำและได้ค้นพบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ถูกใจ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างเป็นรูปธรรมว่าครอบครัวเจริญลาภนำชัยใส่ใจเรื่องของการเรียนรู้ การสนับสนุนลูกให้ได้มีประสบการณ์ และการสร้างความหมายของการเรียนรู้จากการได้มีโอกาสลงมือทำกิจกรรมที่หลากหลายอย่างแท้จริง

Mappa และ Starfish Education จึงชวนพ่อบอลและแม่ปุ้มมาลองพูดคุยกันถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัว แนวทางการเลี้ยงลูก และวิธีคิดของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่จะได้รู้ว่ากว่าจะมาเป็นสไตล์การเลี้ยงลูกที่คนนอกครอบครัวมองว่า ‘ใส่สุด’ ขนาดนี้ พ่อบอลและแม่ปุ้มต้อง ‘ใส่ใจ’ ในการเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองมากขนาดไหน 

ความสัมพันธ์ที่ดี เริ่มต้นได้ด้วยบรรยากาศที่ดี

เชื่อว่าใครที่รู้จักครอบครัวเจริญลาภนำชัย จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ที่มีความผ่อนคลาย สบาย ๆ เป็นกันเอง เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ทำให้คนในครอบครัวรู้สึกสบายใจ และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูก ๆ กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่

“ปุ้มเลี้ยงลูกแบบเพื่อน เราสนิทกัน ซึ่งคนนอกมองเข้ามาก็อาจจะตกใจ แต่คือเวลาคุยกับเขา เราก็ยังคงมีบทบาทของความเป็นแม่อยู่ ซึ่งตรงนี้เราก็ได้รับอิทธิพลมาจากบอล จริง ๆ แล้วปุ้มเป็นคนที่เครียดง่าย ดีที่มีบอลเข้ามา คือบอลเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมาก เห็นหน้าโหด ๆ แต่เป็นคนโลกสวย ทำให้จากที่เราเป็นคนตึง ๆ เครียดง่าย ก็หย่อนลงบ้าง พอบรรยากาศในบ้านดี อะไร ๆ ก็ดี”

“ผมรู้สึกว่าพ่อกับแม่เลี้ยงแบบสบาย ๆ ก็เลยกล้าเป็นตัวเอง การไม่กดดันไม่ต้องอยู่ในกรอบ ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่า” จอมทัพยืนยันว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ช่วยให้เขาได้เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มรูปแบบ

เลี้ยงลูกให้มีความสุข สนุกในแบบของเรา

กว่าจะกลายเป็นแนวทางการเลี้ยงลูกในแบบของครอบครัวเจริญลาภนำชัย แม่ปุ้มเคยตัดสินใจที่จะเข้าคอร์สอบรมสอนเลี้ยงลูก ด้วยความที่เพิ่งเคยมีลูกครั้งแรก ทำให้เกิดความกังวลใจว่าจะเลี้ยงลูกออกมาได้ไม่ดี แต่ท้ายที่สุดแม่ปุ้มก็เลือกที่จะเลี้ยงลูกในแบบของตัวเอง เพราะเชื่อว่าคนที่รู้วิธีในการรับมือกับลูกได้ดีที่สุดก็คือพ่อกับแม่

“แรก ๆ ด้วยความที่เราเป็นแม่ พอมีลูกคนแรกก็จะคิดว่าต้องไปเข้าคอร์ส ต้องอบรมเพื่อเอาหลักการมาเลี้ยงลูก ก็มีทั้งที่จำได้บ้างแล้วก็จำไม่ได้บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องมานั่งทบทวนว่าถ้าลูกร้องก็ต้องทำอย่างนี้ เพราะเราใช้ความเป็นเราในการเลี้ยงลูกได้”

“เรารู้สึกว่าการเลี้ยงลูกมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องยึดตามแนวทางหรือว่าต้องเลี้ยงตามหลักการ แต่เราเลี้ยงลูกให้มีความสุข เลี้ยงลูกให้สนุกในแบบของเรา” เรียนรู้ผ่านการเล่น เน้นการลงมือทำ

สิ่งหนึ่งที่พ่อบอลและแม่ปุ้มให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือวิธีการที่ให้ลูกได้เรียนรู้ผ่าน ‘การลงมือทำ’ เพราะด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ต่างก็ชื่นชอบการทำกิจกรรม ทำให้พวกเขาเชื่อว่าการที่ลูกได้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ทั้ง ‘จอมทัพ’ และ ‘ขุนพล’ จะได้ทักษะและสิ่งดี ๆ กลับไปจากการได้ลงมือทำอย่างแน่นอน

“ที่จริงแล้วอย่างเรื่องโรงเรียน ตอนแรกผมอยากให้ลูกเข้าเรียนที่อัสสัมชัญ เพราะตัวผมก็เรียนอัสสัมชัญมาก่อน แต่ปุ้มก็บอกว่ามีโรงเรียนที่เรียนรู้ผ่านการเล่นอยู่นะ แล้วก็เอาข้อมูลมาให้ดู ได้เห็นรูปโรงเรียน เห็นบรรยากาศ และเราก็ได้เห็นว่าเด็กได้ลงมือทำจริง ๆ อยากรู้เรื่องอะไรก็ลงมือทำสิ่งนั้น ซึ่งตอนเด็ก ๆ ผมก็เป็นสายกิจกรรม ก็เลยรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ดี ตอบโจทย์” พ่อบอลเล่าถึงการตัดสินใจให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่เน้นกิจกรรมและการลงมือทำเป็นหลัก เพราะเชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตำราวิชาการ

“ด้วยความที่ปุ้มกับบอลก็ไม่ได้เป็นคนที่ซีเรียสหรือจริงจังกับเรื่องการเรียนขนาดนั้น เราเป็นคนชอบทำกิจกรรม ชอบเล่น มันก็เลยกลายเป็นวิธีการเลี้ยงลูกในแบบของเรา” แม่ปุ้มเสริม

“คือพอเวลาเราเห็นลูกเล่น แววตาเขาไม่เหมือนเด็กที่โรงเรียนทั่วไป เรารู้สึกว่าเขาได้เรียนรู้จากการที่เขามีพื้นที่ในการเล่น พอได้ลงมือทำ มันน่าจะซึมซับประสบการณ์ได้ดีกว่าการอ่านตำรา”

ด้วยแรงสนับสนุนของพ่อบอลและแม่ปุ้มที่เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ผ่านการลงมือทำ จอมทัพจึงได้ทำกิจกรรมที่สนใจอย่างการถ่ายภาพท่ามกลางธรรมชาติ แม้จะคว้ารางวัลมากมายจากเวทีประกวดภาพสัตว์ป่าระดับโลก แต่จอมทัพยังคงแบ่งเวลาให้กับการเรียนตามปกติ และมีพ่อบอลกับแม่ปุ้มพร้อมสนับสนุนอย่าง ‘ใส่สุด’ อยู่เคียงข้าง

“ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ตอนจอมทัพเลี้ยงด้วงผมก็เอากล้องไปถ่ายรูปที่บ้าน แล้วพอเขาได้เห็นกล้องก็ลองเอามาถ่ายเล่น ๆ แต่ถามว่าลูกจริงจังเมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนที่ไปค่ายธรรมชาติที่ภูเขียว ก็ได้ไปเจอวิวที่สวย เจออากาศดี ๆ เจอสัตว์เยอะ ๆ ถ่ายรูปง่าย เขาก็เริ่มชอบมาเรื่อย ๆ” พ่อบอลเล่าถึงจุดเริ่มต้นความหลงใหลในการถ่ายรูปของจอมทัพลูกชายคนโต

“ตอนแรก ๆ พ่อเป็นคนสอนถ่ายรูปครับ แต่พอเราได้ออกไปถ่ายก็ได้เจอพี่ ๆ คนอื่น ๆ ที่มาช่วยสอนให้ เขาก็จะช่วยแนะนำเราว่าต้องทำอย่างไร บางทีก็อาจจะมีไปเวิร์กชอปบ้าง ซึ่งจริง ๆ สุดท้ายแล้วมันต้องไปซึมซับเอาเองว่าถ้าอยากได้เทคนิคแบบนี้จะต้องทำยังไงแล้วค่อยเอามาประยุกต์ใช้เอง” 

“ถ้าหากว่ามีวันหยุดหรือมีอะไรน่าสนใจ พ่อกับแม่ก็จะพาไปถ่ายรูปตลอดครับ มีทั้งทริปที่ไปป่าและไปอุทยาน หรือบางทริปก็ไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หลายคนจะเข้าใจว่าผมบุกเข้าไปในป่าลึกมาก แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ลึกขนาดนั้น บางทีก็แค่ถ่ายอยู่ข้างหน้าบ้านพักตามปกติ อยู่แค่ในเขตอุทยาน ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าครับ” จอมทัพอธิบายถึงทริปที่พ่อกับแม่มักจะพาเดินทางไปถ่ายรูปอยู่เสมอ ขอเพียงแค่มีสิ่งที่ลูกสนใจ พ่อและแม่ก็พร้อมที่จะเดินทางไปกับเขาทุกที่

ในขณะที่ขุนพลลูกชายคนเล็กก็ชื่นชอบการอ่านหนังสือและวาดรูป แม่ปุ้มเล่าว่าอิทธิพลส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่เธอเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือให้ลูกฟังอยู่บ่อย ๆ เมื่อขุนพลได้ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก พอเริ่มโตขึ้นจึงมีนิสัยรักการอ่าน  

“ปุ้มเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เราอ่านให้เขาฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เราเป็นคนชอบหนังสือที่มีภาพสวย ๆ เราก็จะมีหนังสือแบบนี้เยอะ เขาก็จะซึมซับตั้งแต่เด็ก จะมีคุณพ่อคนหนึ่งแซวว่าเวลาเรานั่งอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เหมือนกับโลกนี้มีเพียงเราสองแม่ลูกกับหนังสือ 1 เล่ม เพราะแต่ก่อนขุนพลจะชอบฟังเราอ่านหนังสือมาก พอขึ้น ป.1 ปุ๊บเขาก็อ่านได้ปั๊บ จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็อ่านเอง อ่านได้ทุกแนว” 

“เรื่องที่เป็นเล่มโปรดของผมคือ ‘The Broken Wing’ หรือ ‘ปีกหัก’ ของคาลิล ยิบราน ผมรู้สึกว่าถ้าเราอ่านหนังสือที่ใช้ศัพท์ประมาณนี้ เราจะสามารถเอาไปต่อยอดกับพวกงานเขียนได้เหมือนกัน คือช่วงที่ขึ้น ป.1 ผมชอบไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดเพราะแอร์เย็น แต่ตอนนั้นยังอ่านหนังสือไม่ออก พอเริ่มอ่านหนังสือออกผมก็ไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดตลอด จนตอนนี้ป.6 แล้วบางเล่มก็ยังไม่ได้คืนเลยครับ (หัวเราะ)” ขุนพลเล่าถึงความเป็นหนอนหนังสือที่ฉายแววตั้งแต่ขึ้น ป.1 ให้เราฟัง

เลี้ยงลูกแบบ ‘ใส่สุด’ และ ‘ใส่ใจ’ ต้องมีไลฟ์สไตล์แบบไหน

นอกจากจะให้ลูกได้ลองลงมือทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ พ่อบอลและแม่ปุ้มยังพาลูกชายทั้งสองไปลองทำกิจกรรมใหม่ ๆ ต่างสถานที่อยู่เสมอ เราติดตามกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัวนี้จากเพจ ‘พาลูกเที่ยวดะ’ เพจแบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยวของครอบครัว ซึ่งตอนนี้กำลังขยับขยายตัวให้เป็นศูนย์กลางในเรื่องของธุรกิจการท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว และยังมีการร่วมมือกับทางภาครัฐและเอกชนด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนไดอารี่บนพื้นที่ออนไลน์ที่ได้บันทึกความทรงจำในการทำกิจกรรมของพ่อแม่ลูกไปในตัว

“คือเวลาเราเลี้ยงลูก ปุ้มก็จะชอบไหลไปกับเขา โชคดีที่ลูกเราไม่ได้มาทางสายวิทย์-คณิต (หัวเราะ) ซึ่งปุ้มกับบอลไม่ถนัด แล้วสิ่งที่เขาชอบมันก็เป็นสิ่งที่เราชอบ อย่างช่วงนี้ขุนพลชอบศิลปะชอบวาดรูป ปุ้มก็ชอบดูนิทรรศการ ก็จะชวนเขาไปดูนิทรรศการด้วยกัน จอมทัพชอบถ่ายรูปเข้าป่า เราชอบธรรมชาติก็ไปนั่งเฝ้าสัตว์กับเขา คือเราอินไปกับเขาด้วย เหมือนพากันไปในทิศทางเดียวกัน”

เมื่อได้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ในการสนับสนุนลูกของบ้านเจริญลาภนำชัย Mappa อดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อบอลและแม่ปุ้มมีวิธีการจัดสรรเวลาในการเลี้ยงลูกอย่างไร จึงสามารถแบ่งเวลามาสนับสนุนลูกแบบ ‘ใส่สุด’ ได้อย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งทั้งสองก็ได้เล่าถึงการจัดสรรเวลาว่าโดยปกติแล้วงานที่พ่อบอลทำนั้นไม่ได้กำหนดเวลาในการทำงานอย่างชัดเจน จึงแบ่งเวลามาดูแลลูก ๆ และครอบครัวได้อย่างเต็มที่ ส่วนแม่ปุ้มนั้นมีหลากหลายอาชีพ และมีออฟฟิศคือที่บ้าน ทำให้มีความยืดหยุ่นและจัดสรรเวลามาดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด แต่อีกสิ่งสำคัญที่พ่อบอลและแม่ปุ้มไม่ลืม คือการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง

“ปุ้มเป็นคนชอบวิ่ง ชอบออกกำลังกาย คือเราก็ยังอยากมีพื้นที่ความสุขของเรานิด ๆ หน่อย ๆ ปุ้มก็จะจัดสรรเวลาด้วยการไปวิ่งในตอนเช้าก่อนที่ทุกคนจะตื่น พอกลับมาก็มาสวมบทเป็นแม่บ้าน หรือบางทีก็ไปวิ่งตามงานต่าง ๆ แล้วก็ฝากลูกไว้กับบอล ซึ่งบอลก็บอกให้เราไปเถอะ” 

‘ผมไม่อยากให้เขามัวแต่เลี้ยงลูกจนไม่ได้ทำอะไรเลย คือช่วงแรก ๆ ปุ้มจะเป็นคุณแม่ full-time เลี้ยงลูกเป็นหลัก เราก็อยากให้เขาไปพักผ่อน ไปหาเพื่อนบ้าง หาอะไรที่ชอบทำบ้าง ไปเอาความสุขก่อนไม่งั้นพลังจะตก” พ่อบอลอธิบายด้วยความเป็นห่วง เพราะเกรงว่าหากภรรยาทุ่มเทเวลาให้กับลูกมากเกินไป อาจทำให้เผลอละเลยความสุขส่วนตัวจนลืมเติมกำลังใจให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

แนวคิดเลี้ยงลูกที่เปิดโอกาสให้ลูกสร้างความหมายในชีวิตของตัวเอง

เมื่อถามถึงแนวคิดในการเลี้ยงลูก พ่อบอลเน้นย้ำถึงความธรรมดา สบาย ๆ ที่ใช้เป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกมาตลอด สิ่งสำคัญของแนวทางในการเลี้ยงลูกแบบนี้ คือต้องมีพื้นที่ให้ลูกได้รู้สึกถึง ‘ความปลอดภัย’ กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเองได้อย่างเต็มที่ เมื่อถึงจุดที่เขารับมือไม่ไหวและต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ พ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะยื่นมือให้เขาเสมอ

“เราเลี้ยงลูกตามปกติ เลี้ยงแบบบ้าน ๆ สบาย ๆ เวลาเขาล้มเราก็คอยยืนดูอยู่ข้าง ๆ ให้เขารู้ว่าเราเป็นห่วง แต่ให้เขาลุกเอง ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็แค่ยื่นมือมาหาเรา การให้เขาได้เผชิญกับทุก ๆ สถานการณ์ด้วยตัวเองไม่ได้แปลว่าเราทิ้งเขา เรามองดูอยู่ห่าง ๆ ให้เขามีประสบการณ์จัดการปัญหาด้วยตัวเอง ได้ลองเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่” 

“พอลูกมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ความแตกต่างในสังคมเป็นสิ่งที่เขาต้องเจออยู่แล้ว ซึ่งพอโตขึ้นเขาก็อาจจะเปลี่ยนไป อย่างจอมทัพตอนเด็ก ๆ เขาจะเป็นคนที่มีความเป็นเอกเทศ ชอบเล่นคนเดียว เราก็ให้เขาเล่น แต่ตอนนี้เขาเข้ากับคนอื่นได้ดีมาก ก็คือมันเปลี่ยนตามวัยแหละแต่แค่ตอนนั้นเขาเป็นแบบนั้น”

‘ใส่ให้สุด’ อย่าหยุดที่จะเรียนรู้

“ประโยคที่ผมจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ‘บ้านนี้เลี้ยงลูกแบบใส่สุดดี เลี้ยงมันดี’ บางคนก็บอกว่า ‘เจ๋งอะ กล้าไปลุย’ ซึ่งจริง ๆ เราก็อาจจะไม่ได้ถึงกับเจ๋งขนาดนั้น แต่เรามองว่าการได้สนับสนุนลูกมันคือการให้โอกาสลูกได้ลองทำในสิ่งที่ชอบ ให้ลูกได้ลองเรียนรู้ และเราก็ได้ไปเรียนรู้กับเขาด้วย”

“เวลาได้ทำอะไรเราก็จะทำให้เต็มที่ อาจจะมีบ้างบางวันที่เรารู้สึกเหนื่อย ไม่ได้ออกไปไหน นอนเล่นเกมอยู่บ้าน คือวิธีการเลี้ยงลูกของเราก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์นะ แต่เราแค่อยากทำให้มันเต็มที่จริง ๆ อยากสนับสนุนลูกในตอนที่เรามีโอกาสทำ”

แม่ปุ้มเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เธอตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยความ ‘ใส่สุด‘ ส่วนหนึ่งนั้นมาจากความเชื่อในการได้ลงมือทำ ผนวกกับกำลังสนับสนุนจากพ่อบอลผู้เป็นเสมือนความมั่นคงของบ้าน ทำให้เธอมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว

“อย่างเรื่องวาดรูป ปุ้มก็เป็นประเภทที่พอลูกเริ่มจับดินสอได้ เราก็จะมีสมุดกับดินสอติดตัวไปทุกที่ แต่ก่อนจะค่อนข้างเข้มงวดเรื่อง iPad กับโทรศัพท์ แล้วพอเวลาเรานั่งกินข้าวเขาก็จะมานั่งวาดรูป ซึ่งแต่ก่อนเราก็วาดกับเขา พอผ่านไปสักพักเขาก็วาดของเขาเองได้ มันก็เหมือนกับเป็นกิจวัตร จนทุกวันนี้เขาก็ยังชอบที่จะวาดรูปอยู่”

ความชอบที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้การเรียนรู้นั้นสูญเปล่า

หลายคนอาจสงสัยว่าการที่พ่อบอลและแม่ปุ้มทุ่มเทกับการสนับสนุนลูกชายทั้งสองคนขนาดนี้ ถ้าหากวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ลูกตัดสินใจเดินมาบอกว่าไม่อยากทำสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว พ่อกับแม่จะทำอย่างไร

“เราเชื่อว่าเขาน่าจะได้อะไรหลาย ๆ อย่างตลอดระยะเวลาที่เขาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ อย่างจอมทัพก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นช่างภาพก็ได้ ปุ้มว่าเขาน่าจะได้อะไรหลาย ๆ อย่างนอกเหนือจากการถ่ายภาพแล้ว ขุนพลก็เหมือนกัน เขาน่าจะได้อะไรหลาย ๆ อย่างจากการทำอาหาร และสุดท้ายเขาก็ทำอาหารทานเองได้ ถามว่าเสียดายไหม เสียดาย แต่ท้ายที่สุดปุ้มเชื่อว่าเขาจะได้ทักษะและวิธีคิดบางอย่างจากการทำสิ่งเหล่านี้” แม่ปุ้มตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

สิ่งสำคัญที่แท้จริงที่ได้กลับมาจากการเลี้ยงลูกแบบ ‘ใส่สุด และ ใส่ใจ’ อาจไม่ใช่การที่จอมทัพได้รางวัลระดับโลก ขุนพลได้วาดรูปและอ่านหนังสือจนครบทุกเล่มที่มีอยู่ในบ้าน แต่สิ่งที่มีความหมายสำหรับพ่อบอลและแม่ปุ้มมากที่สุด คือการที่ประสบการณ์ในการลงมือทำกิจกรรมเหล่านี้จะเป็นพื้นที่ให้ลูก ๆ ได้ริเริ่มสร้างความหมายของชีวิตตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญของแต่ละคนคืออะไร อนาคตที่ดำเนินต่อไปข้างหน้านั้นลูกแต่ละคนอยากสร้างชีวิตตัวเองอย่างไร และอย่างน้อยที่สุดประสบการณ์เหล่านี้จะถูกบันทึกกลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าที่จะอยู่ในใจของพ่อแม่และลูก ๆ ตลอดไป

มาร่วมเรียนรู้กับ Starfish Labz

แหล่งเรียนรู้และชุมชนออนไลน์เพื่อนักการศึกษาและผู้ปกครอง

ลงทะเบียน

Related Courses

การดูแลสุขภาพกายและจิตใจ
ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา
basic
2:00 ชั่วโมง

ฝึกเด็กเล็กเอาตัวรอดจากภัยในชีวิตประจำวัน

ภัยในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กๆ ของเรา ดังนั้นผู้ปกครองหรือคุณครูควรสอนตั้งแต่เด็กเล็กๆ เพื่อให้เด็กมี ...

Starfish Academy
Starfish Academy
ฝึกเด็กเล็กเอาตัวรอดจากภัยในชีวิตประจำวัน
Starfish Academy

ฝึกเด็กเล็กเอาตัวรอดจากภัยในชีวิตประจำวัน

Starfish Academy
1211 ผู้เรียน
ทักษะสําคัญแห่งโลกอนาคต
ด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง การรู้จักตนเอง การบริหารจัดการตนเอง การรู้จักสังคม
basic
2:00 ชั่วโมง

How to รู้เท่าทันมิจฉาชีพบนโลกไซเบอร์

ทุกวันนี้การใช้งานบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับดาบสองคม ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ เสมอไป ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วว่าจะเลือกข้อมูลด้านไหน ...

Starfish Academy
Starfish Academy
How to รู้เท่าทันมิจฉาชีพบนโลกไซเบอร์
Starfish Academy

How to รู้เท่าทันมิจฉาชีพบนโลกไซเบอร์

Starfish Academy
1877 ผู้เรียน
ทักษะสําคัญแห่งโลกอนาคต
ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง การรู้จักตนเอง การบริหารจัดการตนเอง
basic
2:00 ชั่วโมง

ฝึกทักษะพื้นฐานในการตัดสินใจ (Decision Making)

การตัดสินใจที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ถ้าหากได้รับการฝึกฝนทักษะการตัดสินใจตั้งแต่วัยรุ่น ก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิ ...

Starfish Academy
Starfish Academy
ฝึกทักษะพื้นฐานในการตัดสินใจ (Decision Making)
Starfish Academy

ฝึกทักษะพื้นฐานในการตัดสินใจ (Decision Making)

Starfish Academy
1841 ผู้เรียน
ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลก และสังคม
ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง การบริหารจัดการตนเอง
basic
2:30 ชั่วโมง

โลกเปลี่ยนไป ปรับตัวกับภัยธรรมชาติอย่างไรให้อยู่รอด

"โลกเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คิด” ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การเตรียมตัวล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกา ...

Starfish Labz
Starfish Labz
โลกเปลี่ยนไป ปรับตัวกับภัยธรรมชาติอย่างไรให้อยู่รอด
Starfish Labz

โลกเปลี่ยนไป ปรับตัวกับภัยธรรมชาติอย่างไรให้อยู่รอด

Starfish Labz

ต้องใช้ 100 เหรียญ

Related Videos

108 ปัญหาพ่อแม่ และลูกวัยรุ่น
43:36
Starfish Academy

108 ปัญหาพ่อแม่ และลูกวัยรุ่น

Starfish Academy
294 views • 1 ปีที่แล้ว
108 ปัญหาพ่อแม่ และลูกวัยรุ่น
สิทธิในร่างกายแบบไหนที่เรียกว่าอยู่ในขอบเขต
05:59
Starfish Academy

สิทธิในร่างกายแบบไหนที่เรียกว่าอยู่ในขอบเขต

Starfish Academy
205 views • 3 ปีที่แล้ว
สิทธิในร่างกายแบบไหนที่เรียกว่าอยู่ในขอบเขต
EP:1 Chef’s Table Eat & EDUCATE How to พ่อแม่ยุคใหม่ ทำงานเก่ง เลี้ยงลูกเป็นเลิศ
30:00
Starfish Labz

EP:1 Chef’s Table Eat & EDUCATE How to พ่อแม่ยุคใหม่ ทำงานเก่ง เลี้ยงลูกเป็นเลิศ

Starfish Labz
3187 views • 1 ปีที่แล้ว
EP:1 Chef’s Table Eat & EDUCATE How to พ่อแม่ยุคใหม่ ทำงานเก่ง เลี้ยงลูกเป็นเลิศ
เราควรเลี้ยงลูกแบบไหน? แบบเพื่อน vs แบบพ่อแม่
30:00
Starfish Academy

เราควรเลี้ยงลูกแบบไหน? แบบเพื่อน vs แบบพ่อแม่

Starfish Academy
253 views • 2 ปีที่แล้ว
เราควรเลี้ยงลูกแบบไหน? แบบเพื่อน vs แบบพ่อแม่